การจัดโต๊ะหมู่บูชา เป็นวัฒนธรรมประจำชาติไทยมานาน แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีมาแต่สมัยใด ปัจจุบันในพิธีที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ในพระราชพิธี รัฐพิธี หรือราษฎร์พิธี จะเป็นงานมงคล หรืองานอวมงคลก็ตาม นิยมตั้งโต๊ะหมู่บูชาทั้งสิ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป พร้อมเครื่องบูชาตามคตินิยมของชาวพุทธ เท่าที่ปรากฏในสมัยพุทธกาล พุทธบริษัทมีความประสงค์จะบำเพ็ญกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง นิยมนิมนต์พระสงฆ์มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นประมุขในงานกุศลนั้นๆ เพื่อต้องการให้พระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พร้อมบริบูรณ์ ศาสนพิธีต่างๆ ทางพุทธศาสนาจึงนิยมอัญเชิญพระพุทธรูปเป็นนิมิตรแทนองค์พระพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ในพิธีเพื่อให้พระรัตนตรัยครบบริบูรณ์ดังกล่าวแล้ว แต่การอัญเชิญพระพุทธรูปมาประดิษฐานนั้นควรทำสถานที่ให้เหมาะสม ในชั้นแรกสันนิษฐานว่า อาจใช้โต๊ะธรรมดาเป็นที่ประดิษฐานต่อมาได้มี วิวัฒนาการเป็นโต๊ะหมู่บูชาขึ้นดังปรากฏในปัจจุบันนี้มีหลายรูปแบบนับเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของไทย การจุดธูป ๓ ดอก เป็นการบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า ๓ ประการคือ๑. บูชาพระปัญญาคุณ๒. บูชาพระวิสุทธิคุณ๓. บูชาพระมหากรุณาธิคุณ การจุดเทียน ๒ เล่ม เป็นการบูชาพระธรรมและพระวินัย เล่มขวาของพระพุทธรูป หรือด้านซ้ายของผู้จุดเป็นเทียนพระธรรม เล่มซ้ายของพระพุทธรูปหรือด้านขวาของผู้จุดเป็นเทียนพระวินัย ปัจจุบัน การตั้งโต๊ะหมู่บูชานิยมตั้งใน ๒ กรณี คือ๑ในพิธีทางพุทธศาสนา เช่น การทำบุญ ฟังเทศน์ เป็นต้น๒ ๒ ในพิธีถวายพระพร หรือตั้งรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือ พระบรมราชินีนาถ ![]() การจัดโต๊ะหมู่บูชาในบางพิธีของราชการ การจัดโต๊ะหมู่บูชาในพิธีบางพิธีของทางราชการ เช่น การประชุม อบรม สัมมนา เป็นต้นที่มิใช่พิธีเกี่ยวกับนานาชาติและการประชุมปกติของคณะกรรมการ นิยมตั้งธงชาติ และพระบรมฉายาลักษณ์ หรือพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร่วมกับโต๊ะหมู่บูชาเพื่อให้ครบทั้ง ๓ สถาบันคือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีหลักในการจัดคือ ตั้งโต๊ะหมู่บูชาไว้ตรงกลาง ตั้งธงชาติไว้ทางด้านขวาของโต๊ะหมู่ และตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ หรือพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ ไว้ทางด้านซ้ายของโต๊ะหมู่ ดังภาพ ![]() ในพิธีส่วนตัว เช่นทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญอัฐิ หรือทำบุญใดๆ เฉพาะตน ในกรณีที่มีพื้นที่ในการใช้อย่างจำกัดและแคบเกินไป หรือหาโต๊ะหมู่ตามกำหนด ไม่ได้ และมีทุนในการจัดอย่างจำกัด อาจดัดแปลงเครื่องบูชาและรูปแบบการจัดก็ได้ โดยยึดหลักในการจัดคือ ๑พระพุทธรูปจะต้องอยู่สูงกว่าเครื่องบูชาทุกชนิด ๒ เครื่องบูชาอย่างน้อยที่สุด คือ แจกันดอกไม้ ๑ คู่ เชิงเทียน ๑ คู่ และกระถางธูป ๑ กระถาง (พานดอกไม้จะมีหรือไม่มีก็ได้) |
![]() ![]() ![]() ![]() เครื่องบูชาที่ใช้ในการตั้งโต๊ะหมู่บูชา ก็คือ พานพุ่ม หรือ พานดอกไม้ แจกันดอกไม้ กระถางธูป เชิงเทียน โดยมีปริมาณที่มากน้อยแตกต่างกันไป ตามจำนวนของโต๊ะหมู่ที่ใช้ สำหรับโต๊ะหมู่ก็มีจำนวนโต๊ะต่อหมู่ที่แตกต่างกัน คือ หมู่ ๔ หมู่ ๕ หมู่ ๖ หมู่ ๙ โดยปัจจุบัน นิยมใช้เฉพาะ หมู่ ๕ หมู่ ๗ หมู่ ๙ โดยหมู่ ๕ นิยมใช้ในพื้นที่จำกัด ส่วนหมู่ ๗ และหมู่ ๙ มักจะใช้ในพิธีที่สำคัญและมีพื้นที่กว้างพอสมควร ![]() |
![]() โต๊ะหมู่ ๔ มี ๒ ประเภท คือแบบธรรมดา และแบบโต๊ะซัด ( โต๊ะปีกหรือโต๊ะเคียง) โต๊ะซัดเป็นคำเรียกโต๊ะหมู่ ๔ ที่จัดตั้งโดยทแยงมุมโต๊ะออก ตั้งเครื่องบูชาและพระพุทธรูปทแยงตามมุมโต๊ะ หรือตั้งบริเวณมุมของห้องโดยทแยงกับมุมห้องด้านตรงข้าม หากนำไปตั้งไว้ข้างโต๊ะหมู่ใหญ่ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง ๒ ข้าง จะเรียกว่า โต๊ะปีก หรือ โต๊ะเคียง ซึ่งหมายถึง โต๊ะปีกของโต๊ะหมู่ใหญ่ หรือ โต๊ะที่ตั้งเคียงคู่กับโต๊ะหมู่ ๗ โต๊ะหมู่ ๔ ประกอบด้วยเครื่องบูชา ดังนี้ กระถางธูป ๑ กระถาง เชิงเทียน ๑ คู่ (แบบธรรมดาใช้ ๓ คู่ ) พานดอกไม้ ๒ พาน แจกัน ๑ แจกัน (แบบธรรมดาใช้ ๒ คู่) ![]() ![]() |
![]() ![]() ![]() |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
โต๊ะบูชาชุดหมู่ ๙ สมัยรัตนโกสินทร์ ![]() ![]() ![]() |
การจัดโต๊ะหมู่แบบต่างๆ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
การตั้งโต๊ะหมู่ถวายพระพรหรือรับเสด็จ ปัจจุบันหน่วยงานราชการ วัด และเอกชน นิยมตั้งโต๊ะถวายพระพรหรือรับเสด็จพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือพระบรมราชินีนาถนวโรกาสสำคัญๆ เช่น วันเเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นต้น โดยมีหลักในการจัดดังนี้![]() ![]() ๒. ปริมาณเครื่องสักการะจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าจะใช้โต๊ะหมู่ชนิดใด และความสวยงาม โดยไม่ให้ทึบหรือโปร่งเกินไป ประการสำคัญคือ ไม่ต้องตั้งพระพุทธรูป ดดยตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ ที่โต๊ะหมู่ตัวสูงที่สุดตามตัวอย่าง |
การจัดเครื่องทองน้อย เครื่องทองน้อย เป็นเครื่องบูชาชนิดหนึ่ง สำหรับพระเจ้าแผ่นดิน ทรงใช้บูชาเฉพาะวัตถุ เช่น พระบรมอับิ เป็นต้น ประกอบด้วยเชิงเทียน ๑ ที่ เชิงธูป ๑ เชิง สำหรับปักธูปไม้ระกำ กรวยปักดอกไม้ ๓ กรวย ตั้งในพานทองลงยาราชาวดี หรือ พานรอง โดยมีวิธีตั้งคือ หากบูชาศพให้หันธูปเทียนมาทางผู้บูชา หากต้องการให้ศพบูชาพระ ให้หันธูปเทียนไปทางศพ![]() ![]() ![]() ![]() |
คลังบทความของบล็อก
วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
การจัดโต๊ะหมู่บูชา
วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
มารยาทในการอยู่ร่วมกันในสังคม
ไป ลามาไหว้ มารยาทไทยที่เป็นวัฒนธรรมการทักทายเวลาพบปะกันหรือลาจากกัน “ การไหว้ ” เป็นการแสดงถึงความมีสัมมาคารวะและการให้เกียรติซึ่งกันและกัน นอกเหนือจากการกล่าวคำว่า “ สวัสดี ” แล้วยังแสดงออกถึงความหมาย “ การขอบคุณ ” และ “ การขอโทษ ” การไหว้เป็นการแสดงมิตรภาพ มิตรไมตรี ที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ซึ่งนับวันจะค่อย ๆ เลือนลางออกไปจากสังคมไทย ด้วยเยาวชนไทยส่วนใหญ่รับเอาวัฒนธรรมต่างชาติมายึดถือปฏิบัติ เช่น การทักทายกันด้วย การจับมือ ด้วยการผงกหัวหรือพยักหน้าต้อนรับกัน โดยปกติความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นวัฒนธรรมไทยที่แสดงความเคารพด้วยการไหว้ผู้ อาวุโส หรือการรับไหว้ผู้อาวุโสน้อย ปัจจุบันกลายเป็นวัฒนธรรมที่เกิดเฉพาะกลุ่ม แทนที่จะเป็นวัฒนธรรมในสังคมของคนทุกชนชั้น ด้วยสาเหตุที่เยาวชนไทยมองข้ามวัฒนธรรมไทยที่ดีงามถูกต้อง มารยาทในสังคมไทยจึงผิดเพี้ยนไป สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติได้จัดการเผยแพร่ความรู้เรื่องมารยาท ไทยอย่างต่อเนื่อง และได้หยิบยกมารยาทในการพบปะสมาคมในสังคมที่สำคัญมีดังนี้ ๑. การรู้จักวางตน ต้องเป็นคนมีความอดทน มีความสงบเสงี่ยม ไม่แสดงกิริยาก้าวร้าว อวดรู้ อวดฉลาด อวดมั่งมี และไม่ควรตีตัวเสมอผู้ใหญ่ แม้ว่าจะสนิทสนมหรือคุ้นเคยกันสักปานใดก็ตาม ๒. การรู้จักประมาณตน มีธรรมของคนดี ๗ ได้แก่ รู้จัก เหตุผล ตน ประมาณ กาล ชุมชน และบุคคล โดยไม่ทำตัวเองให้เด่น เรียกร้องให้คนอื่นสนใจ หรือสร้างจุดสนใจในตัวเรามากเกินไป ตัวอย่าง คำเตือนของหลวงวิจิตรวาทการที่กล่าวไว้ว่า “ จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน ” ๓. การรู้จักการพูดจา ต้องไม่ทักทายปราศรัยกับคนด้วยคำพูดที่จะทำให้ คนเขาเกิดความอับอายในสังคม และ ไม่คุยเสียงดังหรือยักคิ้วหลิ่วตาทำท่าทางประกอบจนทำให้เสียบุคลิกภาพได้ ๔. การรู้จักควบคุมอารมณ์ คือ รู้จักข่มจิตของตน ไม่ใช่อารมณ์รุนแรงเพื่อไม่ให้ล่วงสิ่งที่ไม่ควรล่วง ได้แก่ การข่มราคะ โทสะ โมหะ ไม่ให้กำเริบเป็นคุณลักษณะที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ รู้จักข่มอารมณ์ต่าง ๆ ไม่ทำลายข้าวของ ไม่พูด และแสดงกิริยาประชดประชัน หรือส่อเสียด ๕. การสำรวมกิริยาเมื่อเดินผ่านผู้ใหญ่ ขณะที่เดินผ่านผู้ใหญ่ให้ก้ม ตัวพองาม หรือหากผู้ใหญ่กำลังเดินไม่ควรวิ่งตัดหน้า ควรหยุดให้ผู้ใหญ่เดินไปก่อน หรือไม่ควรเดินผ่านกลางขณะที่ผู้ใหญ่กำลังพูดกัน ๖. การรู้จักควบคุมอิริยาบถ ถือเป็นคุณสมบัติที่ดี เช่น เมื่อเราได้ยินเสียงเพลงก็ไม่ควรเขย่าตัว กระดิกเท้า หรือเคาะจังหวะโดยไม่เลือกสถานที่ ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้ ถือว่าเป็นอาการของคนที่ไม่ควบคุมอิริยาบถ และไม่เหมาะสมกับกาลเทศะ ๗. ความมีน้ำใจไมตรีอันดีต่อกัน การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความ สุขด้วยความรักและเข้าใจกัน ควรมีความเอื้ออาทร มีน้ำใจไมตรีต่อกัน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน มีความเห็นอกเห็นใจ เอาใจใส่ ทุกข์สุขของผู้เกี่ยวข้องมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน ที่สำคัญคือมีน้ำใจในการช่วยเหลือ หรือช่วยทำประโยชน์ให้แก่สังคม ๘. การช่วยเหลือผู้อื่น เป็นคุณธรรมชั้นสูงของการอยู่ร่วมกันในสังคม ลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์มีอุดมการณ์สำคัญคือ “ การช่วยเหลือผู้อื่น ” พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเป็นปัจฉิมโอวาท ความว่า “ จงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นด้วยความไม่ประมาทเถิด ” การยังประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็คือ การช่วยเหลือผู้อื่น หรือการปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เพื่อประโยชน์ส่วนรวม สังคมจะมีสันติสุข คือ มีความสงบสุข ถ้าบุคคลในสังคมรู้จักการช่วยเหลือผู้อื่น มีความเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ขอบคุณที่มากระทรวงวัฒนธรรมไทย pui.lab is online now | ||
ตำนวน พระบรมสารีริกธาตุ

ตำ น า น พ ร ะ บ ร ม ส า รี ริ ก ธ า ตุ
พระบรมสารีริกธาตุ
คือธาตุส่วนต่างๆ ในพระวรกายของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่กลายเป็นพระธาตุหลังถูกพระเพลิง
ซึ่งแยกชิ้นส่วนเป็นของแข็งคือ กระดูก
ส่วนที่เป็นของอ่อน คือ ส่วนเนื้อหนังและอวัยวะภายในทั้งหมด
ซึ่งกล่าวได้ว่า
“พระวรกายของพระพุทธเจ้าทั้งหมดหลังการถูกพระเพลิง
จะกลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุทั้งสิ้น”
พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือที่เรียกเป็นภาษาสามัญว่า “กระดูกของพระพุทธเจ้า”
เป็นพระธาตุที่เกิดขึ้นภายหลังการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีร�

หลังจากทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ได้มีการจัดการพระศพเยี่ยงพระเจ้าจักรพรรดิทั่วไป
คือพระห่อพระศพด้วยผ้าใหม่ แล้วหุ้มสำลีสลับกัน ๕๐๐ ชั้น
ใส่ลงในรางน้ำมันที่ทำด้วยเหล็ก แล้วปิดด้วยฝาเหล็ก
ตั้งเผาบนไม้หอม เสร็จแล้วจึงนำไปบรรจุในสถูป
ที่สร้างไว้บนทางสี่แพร่งเพื่อเป็นที่สักการบูชาของคนที่มาทั้งสี่ทิศ
แต่ในการถวายพระเพลิงพระศพของพระพุทธเจ้า
ได้จัดสถานที่ให้ประชาชนได้มาถวายบังคม ๗ วัน
ก่อนที่จะอัญเชิญพระศพเข้าพระนคร

เสร็จแล้วจึงได้อัญเชิญพระเพลิงติดขึ้นในทันใด
เมื่อพระศพไหม้พระเพลิงดับ
จึงได้มีพิธีรวมพระอัฐิธาตุและพระอังคาร (เถ้าถ่าน)
ไปตั้งสักการะกลางพระนครอีก ๗ วัน
ซึ่งปรากฏว่าหลังพระเพลิงดับ
พระฉวี (หนังกำพร้า) พระมังสะ (เนื้อ) พระจัมมะ (หนัง)
และพระลสิกา (ไขข้อ) และพระนารหุ (เอ็น)
ได้ไหม้และกลายเป็นเถ้าถ่าน
ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า
ภายหลังได้กลายเป็นพระธาตุทั้งสิ้น
นอกจากนี้ผ้าชั้นนอกและผ้าชั้นในคู่หนึ่งไม่ไหม้
ส่วนพระอัฐฺธาตุทั้งปวงนั้นไหม้ทั้งหมด
แต่กลับกลายเป็นเกล็ดสีขาวบริสุทธิ์
สัณฐานใหญ่เท่าเมล็ดถั่วแตก
สัณฐานกลางเท่าเมล็ดข้าวสารหัก
สัณฐานเล็กเท่าเมล็ดผักกาด และเท่าเมล็ดงา

ส่วนที่ยังเป็นชิ้นตามรูปเดิม คือ
พระอุณหิสธาตุ (พระอัฐิหน้าผาก) ๑
พระทาฐธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ๔
พระอักขธาตุ (พระรากขวัญ) ๒
พระทันต์ทั้ง ๓๖ ซี่
พระเกศา พระโลมา และพระขนา
ตามตำนานพบพระบรมสารีริกธาตุมีเพียง ๔ สัณฐาน
ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นเท่านั้น
แต่ตามความเป็นจริงแล้ว
พระบรมสารีริกธาตุยังมีสัณฐานพิเศษ
นอกเหนือจากที่ตำรากล่าวไว้อีกมากมาย
นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า
พระบรมสารีริกธาตุในส่วนที่มาจากกระดูกนั้น จะสามารถลอยน้ำได้
แต่ต้องค่อยๆ เอาภาชนะช้อนองค์พระธาตุไปวางไว้ในน้ำ
ให้น้ำค่อยๆ รองรับองค์พระธาตุ
ลักษณะการลอยนั้นองค์พระธาตุจะลอยปริ่มน้ำ
กดน้ำจนเป็นแอ่งคล้ายวังน้ำวน
และองค์พระธาตุก็จะอยู่ระดับเดียวกันกับผิวน้ำ
แล้วจะค่อยๆ เคลื่อนเข้ามารวมกัน

พระธาตุของพระอรหันต์ชั้นสูงก็เช่นเดียวกัน
เมื่อพระสาวกได้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรมชั้นสูง
จิตใจที่บริสุทธิ์หมดซึ่งกิเลส
พลังแห่งการสั่งสมบารมีจะปรากฏให้เห็น
ซึ่งเราเรียกพระธาตุของพระอรหันต์ว่า
“พระอรหันตธาตุ” ซึ่งสามารถลอยน้ำได้เช่นกัน

ขอขอบคุณ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
มารยาท รับประทานอาหารแบบอีสาน
ผมอยากจะขอนำเสนอวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่กำลังจะเลือนหาย เพื่อจะได้เป็นการอนุรักษ์ หรือนำเอาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ก็ได้นะครับ

การปูเสื่อนั่งล้อมวงกินข้าว ฉบับมาตรฐาน 5-10 คน
1. กระจายก่องข้าวให้ทั่ววงล้อม ให้มือแต่ละคนเอื้อมถึง
2. ถ้าข้าวใครหมดก่อน ฝ่ายที่มีต้องช่วยกันจกไปเติมให้
3. จะนั่งพับเพียบ หรือขัดสมาธิก็ได้ ตามสะดวก เมื่อยก็เปลี่ยนท่านั่งได้
4. เมื่อปวดตด ควรเดินออกไประบายห่างๆ หรือบอกว่าไปหาเด็ดผักริมรั้ว

5. ปั้นข้าวเหนียวให้เป็นก้อนแน่นๆ จ้ำหรือคุ้ยอาหารพอประมาณ อย่าให้ข้าวหล่นในจานอาหาร
6. เมนูจำพวกปิ้ง ย่าง สามารถยกหีบปิ้งขึ้นมาฉีกเป็นชิ้นเล็กพอดีคำ จากนั้นก็วางลงที่เดิม
7. เมนูประเภทซุป เช่น ซุปหน่อไม้ ซุปเห็ด ควรแหงนหน้าขึ้น อ้าปากรองรับคำข้าว (ดีกว่าก้มหน้ากิน)

8. เมนูจำพวกแกงอ่อมหอยขม ใช้ปากดูดจ๊วบๆ ได้ ไม่ถือว่าเสียมารยาท
9. ส้มตำผสมเส้นขนมจีน (ตำซั่ว) ใช้มือเปิบ ได้รสชาติกว่าใช้ช้อนตัก
10. เจอต่อนปลาร้าถูกใจ อย่าเขินอาย ยกขึ้นมาฉีกกินโลด

การนำไปประยุกต์ใช้ เช่น ออกไปแค้มปิ้ง ปิคนิค ฯลฯ

การปูเสื่อนั่งล้อมวงกินข้าว ฉบับมาตรฐาน 5-10 คน
1. กระจายก่องข้าวให้ทั่ววงล้อม ให้มือแต่ละคนเอื้อมถึง
2. ถ้าข้าวใครหมดก่อน ฝ่ายที่มีต้องช่วยกันจกไปเติมให้
3. จะนั่งพับเพียบ หรือขัดสมาธิก็ได้ ตามสะดวก เมื่อยก็เปลี่ยนท่านั่งได้
4. เมื่อปวดตด ควรเดินออกไประบายห่างๆ หรือบอกว่าไปหาเด็ดผักริมรั้ว

5. ปั้นข้าวเหนียวให้เป็นก้อนแน่นๆ จ้ำหรือคุ้ยอาหารพอประมาณ อย่าให้ข้าวหล่นในจานอาหาร
6. เมนูจำพวกปิ้ง ย่าง สามารถยกหีบปิ้งขึ้นมาฉีกเป็นชิ้นเล็กพอดีคำ จากนั้นก็วางลงที่เดิม
7. เมนูประเภทซุป เช่น ซุปหน่อไม้ ซุปเห็ด ควรแหงนหน้าขึ้น อ้าปากรองรับคำข้าว (ดีกว่าก้มหน้ากิน)

8. เมนูจำพวกแกงอ่อมหอยขม ใช้ปากดูดจ๊วบๆ ได้ ไม่ถือว่าเสียมารยาท
9. ส้มตำผสมเส้นขนมจีน (ตำซั่ว) ใช้มือเปิบ ได้รสชาติกว่าใช้ช้อนตัก
10. เจอต่อนปลาร้าถูกใจ อย่าเขินอาย ยกขึ้นมาฉีกกินโลด

การนำไปประยุกต์ใช้ เช่น ออกไปแค้มปิ้ง ปิคนิค ฯลฯ
คำไทย" ที่มักเขียนผิดกันประจำ
คำที่ใช้บ่อยและเขียนผิดประจำ
1. สำอาง
แปลว่า เครื่องแป้งหอม งามสะอาด ที่ทำให้สะอาด
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “สำอางค์” ค..การันต์(ค์) มาจากไหน?
2. พากย์
แปลว่า คำพูด คำกล่าวเรื่องราว ภาษา
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “พากษ์” ที่เขียนกันผิดประจำนี่ คงติดภาพมาจากคำว่า วิพากษ์(วิจารณ์)
3. เท่
แปลว่า เอียงน้อยๆ โก้เก๋
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “เท่ห์” …ติดมาจากคำว่า “สนเท่ห์” รึไงนะ?
4.โล่
แปลว่า เครื่องปิดป้องศัตราวุธ ชื่อแพรเส้นไหมโปร่ง
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “โล่ห์” สงสัยอยู่ในกรณีเดียวกับคำว่า “เท่”
5. ผูกพัน
แปลว่า ติดพัน เอาใจใส่ รักใคร่
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “ผูกพันธ์” ไม่ใช่คำว่า “สัมพันธ์” นะจ๊ะ
6. ลายเซ็น
แปลว่า ลายมือชื่อ
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “ลายเซ็นต์” ติดมาจาก “เปอร์เซ็นต์” รึเปล่า?
7. อีเมล
แปลว่า จดหมายอิเล็กทรอนิกส์
มักเขียนผิดเป็นคำว่า ”อีเมล์” คำนี้ผมก็เขียนผิดบ่อยๆ -*- มันติดอ่ะ
8. แก๊ง
แปลว่า กลุ่มคนที่ตั้งเป็นพวก(ในทางไม่ดี)
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “แก๊งค์”หรือไม่ก็ “แกงค์”
เอ่อ…มันมาจากภาษาอังกฤษคำว่า gang นะ ควายการันต์มาจากไหน?
9. อนุญาต
แปลว่า ยินยอม ยอมให้ ตกลง
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “อนุญาต” ผิดกันเยอะจริงๆ สับสนกับคำว่า “ญาติ" ที่หมายถึง เครือญาติ เกี่ยวดองเป็นเครือญาติ
10. สังเกต
แปลว่า กำหนดไว้ หมายไว้ ดูอย่างถ้วนถี่
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “สังเกตุ” นี่ก็ผิดเยอะพอๆกับคำว่า “อนุญาต”
คงติดมาจากคำว่า “สาเหตุ” ล่ะมั้ง?
11. ออฟฟิศ
แปลว่าสำนักงาน ที่ทำการ
มัก เขียนผิดเป็นคำว่า “ออฟฟิส” ไม่ก็ “ออฟฟิต” คำนี้มาจากภาษาอังกฤษคำว่า “office” แต่พอมาเป็นภาษาไทยอุตส่าห์ใช้ตัวอักษร “ศ” ให้เท่ๆแล้วเชียว
แต่ทำไมกลับสู่สามัญเป็น “ส” ล่ะ หรือไม่ก็เอาคำว่า “ฟิตเนส” มาปนมั่วไปหมด
12. อุตส่าห์
แปลว่า บากบั่น ขยัน อดทน
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “อุดส่า” คำนี้พบไม่บ่อยมากนัก
แต่บางคนสะกดด้วย ต เต่า ถูกแล้วแต่ลืมใส่ บการันต์(ห์)
13. โคตร
แปลว่า วงศ์สกุล เผ่าพันธุ์ ต้นตระกูล
มัก เขียนผิดเป็นคำว่า “โครต” คำยอดฮิตของวัยรุ่น ไม่รู้เพราะสับสนกับคำว่า “เปรต” หรือเพราะในเกมออนไลน์บางเกมมันเซ็นเซอร์คำนี้ก็ไม่รู้ เลยดัดแปลงคำซะเลยจะได้พิมพ์ได้ แล้วก็ติดตามาเป็น “โครต” ในปัจจุบัน
14. ค่ะ
แปลว่า คำรับที่ผู้หญิงใช้
มัก เขียนผิดเป็นคำว่า “คะ” คำนี้ไม่ได้เขียนผิดอะไรหรอก แต่ใช้เสียงสูงเสียงต่ำผิด ถ้าจะพูดให้เสียงยาวก็เป็น “คะ” ใช้ต่อท้ายประโยคคำถาม แต่บางทีก็ใช้ “ค่ะ” ยัดลงไปเลย
15. เว็บไซต์
แปลว่า (ไม่รู้อ่ะ แต่มาจากภาษาอังกฤษคำว่า “web” แปลว่า ใยแมงมุม ตาข่าย และ “site” แปลว่า กำหนดสถานที่ตั้ง ตั้งอยู่)
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “เวปไซด์” คำว่า “เวป” อาจติดมาจาก “WAP”
แต่คำว่า “ไซด์” ที่เขียนผิดอาจมาจากคำว่า “side” ที่แปลว่า ด้านข้าง เห็นด้วย (เกี่ยวอะไรกัน?)
16.โอกาส
แปลว่า ช่อง จังหวะ เวลาที่เหมาะ
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “โอกาศ” สงสัยติดมาจากคำว่า “อากาศ”
17.เกม
แปลว่า การแข่งขันการละเล่นเพื่อนความสนุก ลักษณะนามเรียกการแข่งขันจบลงคราวหนึ่งๆ
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “เกมส์”อันนี้เราไม่แน่ใจนะ แต่ถ้าจะให้มีความหมาย
ในภาษาไทยต้องใช้ “เกม” เพราะมันมาจากคำว่า “game” ในภาษาอังกฤษ
18.ไหม
แปลว่า ชื่อแมลงชนิดหนึ่งมีใยใช้ทอผ้า เป็นคำถาม
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “มั้ย” ที่เปลี่ยนไปอาจเป็นเพราะเพื่อให้เสียงสูงขึ้น
เพราะถ้าใช้คำว่า ไม้ มันจะกลายเป็นอีกคำถ้าใช้ ไม๊ นี่อ่านไม่ออกเลย -*-
อาทิเช่น
“อารัย” = อะไร ไม่ใช่ อาลัย
“ที่นั้น” = ที่นั่น เป็นการผันวรรณยุกต์ที่ผิด
“นะค่ะ” = นะคะ ผันวรรณยุกต์ผิดเช่นกัน
“คับผม” = ครับผม อาจเกิดจากการรีบพิมพ์ ขอให้ออกเสียงได้เป็นพอ
“หรอ” = เหรอ ไม่ใช่ หรอจาก “ร่อยหรอ”
“แร้ว” = แล้ว ไม่ใช่ “แร้ว” ที่แปลว่ากับดักนก
“งัย” = ไง
“ครัย” = ใคร
“เกมส์” = เกม ไม่ต้องเติม ส์
“เดล” = เป็นคำภาษาอังกฤษจากคำว่า “Deal” อ่านว่า “ดีล”
“สาด” = สัตว์ เป็นศัพท์วัยรุ่น ลากเสียงให้ยาวขึ้นเพื่อเลี่ยงระบบกรองคำหยาบ
“กวย” = เช่นเดียวกับคำด้านบน เปลี่ยนพยัญชนะเพื่อเลี่ยงระบบ
“ไฟใหม้” = ไฟไหม้
“หวัดดี” = สวัสดี ไม่ใช่ การเป็นหวัดเป็นเรื่องที่ดี
“สำคัน” = สำคัญ บางทีอาจจำสลับกับ “สังคัง” ที่เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง
“หน้ารัก” = น่ารัก ไม่ใช่ รักเพราะหน้า
“ฆ้อน” = ค้อน ผู้ใช้อาจสับสนกับ “ฆ้อง” ที่เป็นเครื่องดนตรี
“สัสดี” = ทหารยศหนึ่ง เข้าใจว่าพิมพ์ผิดจากคำว่า “สวัสดี”
“555″ = เสียงหัวเราะ มาจาก”ฮ่าๆๆ” ดัดแปลงมาเป็น”ห้าห้าห้า”
..................................
เพิ่มเติมคำอื่นๆที่มักเขียนผิด
เริ่มจาก พยัญชนะ ก
คำที่มักเขียนผิด ----> คำที่เขียนถูกต้อง
กงศุล ------ กงสุล
กฏ--------> กฎ
กฏหมาย --------> กฎหมาย
กลบ(เต็ม, แน่น) ------> กบ
กบฎ, กบถ ------> กบฏ
กันไกร ------> กรรไกร
กันเชียง ------> กรรเชียง
กันโชก ------> กรรโชก
กันไตร ------> กรรไตร
กรรมบท ------> กรรมบถ
กรรมพันธ์ ------> กรรมพันธุ์
กรรมสิทธิ ------> กรรมสิทธิ์
ตรวจน้ำ ------> กรวดน้ำ
กล่อน ------> กร่อน
กระจิ๊ดริด, กะจิ๊ดริด ------> กระจิริด
กระเฌอ, กะเฌอ ------> กระเชอ (ภาชนะสาน)
กระตือรือล้น, กะตือรือล้น ------> กระตือรือร้น
กะเทือน ------> กระเทือน
ขะบวนการยุติธรรม ------> กระบานการยุติธรรม
กระเบียดกระเสียน, กะเบียดกะเสียน ------> กระเบียดกระเสียร
กะปรี้กะเปร่า ------> กระปี้กระเปร่า
กะเพาะ ------> กระเพาะ
กระสันต์ ------> กระสัน
กระแสร์น้ำ ------> กระแสน้ำ
กนก (ทอง) ต่างจาก(!=) กระหนก (ลายไทย)
กะหืดกะหอบ ------> กระหืดกระหอบ
กิริยา (มารยาท)!= กริยา (แสดงอาการ)
ก๋วยเตี๋ยวลาดหน้า ------> ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า
กเลวราก ------> กเฬวราก
ก็อก ------> ก๊อก
กอป, กอบร ------> กอปร
ก้อล่อก้อติก, ก้อล่อก้อติด ------> ก้อร่อก้อติก
กระทัดรัด ------> กะทัดรัด
กระทันหัน ------> กะทันหัน
กระทิ ------> กะทิ
กระเทาะ ------> กะเทาะ
กระปริบกระปรอย ------> กะปริบกะปรอย
กระโปโล, กะโปโร ------> กะโปโล
กระพง ------> กะพง
กระเพรา ------> กะเพรา
กระลา ------> กะลา
กระเล่อกระล่า ------> กะเล่อกะล่า
หรี่ปั๊บ, กระหรี่พั๊บ ------> กะหรี่ปั๊บ
กระโหลก ------> กะโหลก
กักขละ ------> กักขฬะ
กังวาล ------> กังวาน
กังสดาน ------> กังสดาล
กันชา ------> กัญชา
กันดาล (กลาง) != กันดาร (อัตคัด)
กัปป์ ------> กัป
กัล ------> กัลป์
กากะบาท, กากบาด ------> กากบาท
กามารมย์ ------> กามารมณ์
การะบูร, การะบูน, การบูน ------> การบูร
กาละเทศะ ------> กาลเทศะ
กร้าวร้าว ------> ก้าวร้าว
กำเหนิด ------> กำเนิด
กิจลักษณะ ------> กิจจะลักษณะ
กิติกรรมประกาศ ------> กิตติกรรมประกาศ
กิติมศัดิ์ ------> กิตติมศักดิ์
กุดฐัง ------> กุฏฐัง
เกล็ดความรู้ ------> เกร็ดความรู้
เกล็ดพงศาวดาร ------> เกร็ดพงศาวดาร
เกร็ดปลา ------> เกล็ดปลา
เกษา ------> เกศา
เกษียนอายุ, เกษียรอายุ ------> เกษียณอายุ
เกษียณหนังสือ, เกษียรหนังสือ ------> เกษียนหนังสือ
เกษียณสมุทร, เกษียนสมุทร ------> เกษียรสมุทร
เกษร ------> เกสร
เกินดุลย์ ------> เกินดุล
โกฎ ------> โกฏิ (๑๐ ล้าน)
โกฐ (เครื่องยาสมุนไพร) != โกศ (ที่ใส่ศพ)
พยัญชนะ ข
ค่น ----> ข้น
ค่นแค้น ----> ข้นแค้น
ขบฏ ----> ขบถ
ขะบวน ----> ขบวน
ข่มเหงเคนงร้าย, ข่มเหงคเนงร้าย ----> ข่มเหงคะเนงร้าย
ขมีขะหมัน ----> ขมีขมัน
ขะโมย, โขมย ----> ขโมย
ขลิบ (เยื่อหุ่มริมเพื่อกันลุ่ย) != ขริบ (ตัดเล็มด้วยตะไกร)
ขรุกขริก ----> ขลุกขลิก
ขมักเขม้น, ขะมักขะเม่น, คะมักคะเม่น ----> ขะมักเขม้น
ขมุกขมอม ----> ขะมุกขะมอม
เขย้อแขย่ง ----> ขะเย้อแขย่ง
ขันทศกร ----> ขัณฑสกร
ขัดสมาส ----> ขัดสมาธิ
ขันเชนาะ ----> ขันชะเนาะ
คั่ว (เอาของใส่กระทะตั้งไฟคน) != ขั้ว (ส่วนที่ต่อของก้านดอกไม้)
ขาดดุลย์ ----> ขาดดุล
ข้าวกลบหม้อ ----> ข้าวกบหม้อ
เข้าของ ----> ข้าวของ (สิ่งของต่าง ๆ)
ข้าวโภช, ข้าวโภชน์ ----> ข้าวโพด
ข้าวลาดแกง ----> ข้าวราดแกง
ขีดขั้น (เกณฑ์กำหนด) != ขีดคั่น (จำกัด)
ขี้เฒ่า, ขี้เท่า ----> ขี้เถ้า
ขี้ลาดโทษล่อง, ขี้ลาดโทษร่อง ----> ขี้ราดโทษล่อง
เข็มฟัก ----> เข็มควัก
ขเม็ดขแม่, ขเม็ดแขม่ ----> เขม็ดแขม่
ขเยก, ขะเหยก ----> เขยก
ขะเหยิน ----> เขยิน
เข้าฌาณ ----> เข้าฌาน
เข้ารีด ----> เข้ารีต
ขโยกขเยก, ขะโหยกขะเหยก ----> โขยกเขยก
ไข่มุกข์, ไข่มุกด์, ไข่มุข ----> ไข่มุก
ไข้สันนิบาติ ----> ไข้สันนิบาต
พยัญชนะ ค
คณณา ----> คณนา
คธา ----> คฑา
คณโฑ ----> คนโท
คันลอง, คัลลอง ----> ครรลอง
คลอก (ไฟล้อมเผาออกไม่ได้) != ครอก (ฝูงลูกสัตว์ที่เกิดร่วมกันคราวเดียว)
คลองแคลง ----> ครองแครง
ครองราช ----> ครองราชย์
ครอบคุม ----> ครอบคลุม
คริสต์กาล ----> คริสตกาล
คริสต์จักร ----> คริสตจักร
คริสตศตวรรษ ----> คริสต์ศตวรรษ
คริสตศาสนา ----> คริสต์ศาสนา
คริสตศาสนิกชน ----> คริสต์ศาสนิกชน
ครุธ ----> ครุฑ
คุรุภัณฑ์ ----> ครุภัณฑ์
คฤหาสถ์ ----> คฤหาสน์
คราคร่ำ, คลาคร่ำ ----> คลาคล่ำ
ครางแครง ----> คลางแคลง
คลีนิค, คลีนิก, คลินิค ----> คลินิก
คลื่นเหียร ----> คลื่นเหียน
คลุมเคลือ, ครุมเคลือ ----> คลุมเครือ, ครุมเครือ
ขวั้น (หัวขั้ว), ฟั่น (ทำสิ่งเป็นเส้นให้เข้าเกลียวกัน) != ควั่น (ทำรอยด้วยคมมีดโดยรอบ)
ขวั้นจุก, ฟั่นจุก ----> ควั่นจุก
ขวั้นอ้อย, ฟั่นอ้อย ----> ควั่นอ้อย
ควินนิน ----> ควินิน
ฆ้อน ----> ค้อน (เครื่องมือสำหรับทุบ)
คอนกรีด ----> คอนกรีต
ข้อนขอด ----> ค่อนขอด
คอนแวนท์ ----> คอนแวนต์
คอนเสิร์ท ----> คอนเสิร์ต
คอมมูนิสต์ ----> คอมมิวนิสต์
ค๊ะ ----> คะ
คนอง ----> คะนอง
คนึง ----> คะนึง
คมำ ----> คะมำ
ขยั้นขะยอ, ขะยั้นขะยอ ----> คะยั้นคะยอ
ขั้น (ขั้นที่ทำลดหลั่นกันเป็นลำดับ) != คั่น (แทรกหรือกั้นอยู่ระหว่าง)
คันดาน ----> คันดาล
คำภีร์ ----> คัมภีร์
คาระวะ ----> คารวะ
คำนวน ----> คำนวณ
คุ๊กกี้ ----> คุกกี้
คู่กรณีย์ ----> คู่กรณี
เค็ก ----> เค้ก
เครื่องยนตร์ ----> เครื่องยนต์
เครื่องลาง ----> เครื่องราง
เครื่องราชอิสสริยาภรณ์ ----> เครื่องราชอิสริยาภรณ์
เครื่องสำอางค์ ----> เรื่องสำอาง
เคหะสงเคราะห์ ----> เคหสงเคราะห์
เคี่ยวเข็น ----> เคี่ยวเข็ญ
แคตาลอก, แคตตาล็อก ----> แค็ตตาล็อก
แครอรี ----> แคลอรี
โคต ----> ตระกูล
โครงการณ์ ----> โครงการ
โควต้า ----> โควตา
พยัญชนะ ง
งบดุลย์ ----> งบดุล
งึมงัม ----> งึมงำ
งูสวัสดิ์ ----> งูสวัด
เงินทดลอง ----> เงินทดรอง
เงินลองจ่าย ----> เงินรองจ่าย
โง่เหง้า ----> โง่เง่า
พยัญชนะ จ
จงกลณี ----> จงกลนี
จตุสดม, จัตุสดม ----> จตุสดมภ์, จัตุสดมภ์
จรเข้ ----> จระเข้
จราจล ----> จลาจล
จาละเม็ด ----> จะละเม็ด
จาละหวั่น ----> จะละหวั่น, จ้าละหวั่น
จั๊กจั่น ----> จักจั่น
จักร์ ----> จักร
จักรพรรดิ์ ----> จักรพรรดิ
จักรวรรดิ์ ----> จักรวรรดิ
จักรวาฬ ----> จักรวาล
จันทาล, จันฑาล ----> จัณฑาล
จัดสรรค์ ----> จัดสรร
จัตุรมุก, จตุรมุก, จตุรมุข ----> จัตุรมุข
จตุรัส ----> จัตุรัส
จันทน์กะพล้อ, จันทร์กะพ้อ, จันทร์กะพล้อ ----> จันทน์กะพ้อ
จันทร์เทศ ----> จันทน์เทศ
จันทร์ผา ----> จันทน์ผา
จันทร์อับ ----> จันอับ
จับไฉ่ ----> จับฉ่าย
จาระนัย, จารไน ----> จาระไน
จำนงค์ ----> จำนง
จิตกาธาร ----> จิตกาธาน
จุล (เล็ก, น้อย) != จุณ, จรุณ (ของที่ละเอียด, ผง)
จุดใต้ตำตอ ----> จุดไต้ตำตอ
จุมพิศ ----> จุมพิต
จุลทัศน์ ----> จุลทรรศน์ (กล้อง)
เจ็ก ----> เจ๊ก
เจดียทิศ ----> เจดียสถาน
เจตจำนงค์ ----> เจตจำนง
เจตนารมย์ ----> เจตนารมณ์
เจตภูติ ----> เจตภูต
เจียรไน, เจียระนัย ----> เจียระไน
โจทย์จำเลย ----> โจทย์จำเลย
โจทก์เลข ----> โจทย์เลข
โจทจัน, โจทย์จัน, โจษจรรย์ ----> โจษจัน
พยัญชนะ ฉ
ฉะกาจ ----> ฉกาจ
ฉะบับ ----> ฉบับ
ฉนั้น ----> ฉะนั้น
ฉนี้ ----> ฉะนี้
ฉอ้อน ----> ฉะอ้อน
ฉัตรทันต์ ----> ฉัททันต์
ฉันท์ญาติ, ฉันท์ญาต, ฉันญาต ----> ฉันญาติ
ฉะเพาะ ----> เฉพาะ
ขอบคุณ....http://www.baanbaimai.com/forum/index.php?topic=10497.0
1. สำอาง
แปลว่า เครื่องแป้งหอม งามสะอาด ที่ทำให้สะอาด
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “สำอางค์” ค..การันต์(ค์) มาจากไหน?
2. พากย์
แปลว่า คำพูด คำกล่าวเรื่องราว ภาษา
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “พากษ์” ที่เขียนกันผิดประจำนี่ คงติดภาพมาจากคำว่า วิพากษ์(วิจารณ์)
3. เท่
แปลว่า เอียงน้อยๆ โก้เก๋
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “เท่ห์” …ติดมาจากคำว่า “สนเท่ห์” รึไงนะ?
4.โล่
แปลว่า เครื่องปิดป้องศัตราวุธ ชื่อแพรเส้นไหมโปร่ง
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “โล่ห์” สงสัยอยู่ในกรณีเดียวกับคำว่า “เท่”
5. ผูกพัน
แปลว่า ติดพัน เอาใจใส่ รักใคร่
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “ผูกพันธ์” ไม่ใช่คำว่า “สัมพันธ์” นะจ๊ะ
6. ลายเซ็น
แปลว่า ลายมือชื่อ
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “ลายเซ็นต์” ติดมาจาก “เปอร์เซ็นต์” รึเปล่า?
7. อีเมล
แปลว่า จดหมายอิเล็กทรอนิกส์
มักเขียนผิดเป็นคำว่า ”อีเมล์” คำนี้ผมก็เขียนผิดบ่อยๆ -*- มันติดอ่ะ
8. แก๊ง
แปลว่า กลุ่มคนที่ตั้งเป็นพวก(ในทางไม่ดี)
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “แก๊งค์”หรือไม่ก็ “แกงค์”
เอ่อ…มันมาจากภาษาอังกฤษคำว่า gang นะ ควายการันต์มาจากไหน?
9. อนุญาต
แปลว่า ยินยอม ยอมให้ ตกลง
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “อนุญาต” ผิดกันเยอะจริงๆ สับสนกับคำว่า “ญาติ" ที่หมายถึง เครือญาติ เกี่ยวดองเป็นเครือญาติ
10. สังเกต
แปลว่า กำหนดไว้ หมายไว้ ดูอย่างถ้วนถี่
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “สังเกตุ” นี่ก็ผิดเยอะพอๆกับคำว่า “อนุญาต”
คงติดมาจากคำว่า “สาเหตุ” ล่ะมั้ง?
11. ออฟฟิศ
แปลว่าสำนักงาน ที่ทำการ
มัก เขียนผิดเป็นคำว่า “ออฟฟิส” ไม่ก็ “ออฟฟิต” คำนี้มาจากภาษาอังกฤษคำว่า “office” แต่พอมาเป็นภาษาไทยอุตส่าห์ใช้ตัวอักษร “ศ” ให้เท่ๆแล้วเชียว
แต่ทำไมกลับสู่สามัญเป็น “ส” ล่ะ หรือไม่ก็เอาคำว่า “ฟิตเนส” มาปนมั่วไปหมด
12. อุตส่าห์
แปลว่า บากบั่น ขยัน อดทน
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “อุดส่า” คำนี้พบไม่บ่อยมากนัก
แต่บางคนสะกดด้วย ต เต่า ถูกแล้วแต่ลืมใส่ บการันต์(ห์)
13. โคตร
แปลว่า วงศ์สกุล เผ่าพันธุ์ ต้นตระกูล
มัก เขียนผิดเป็นคำว่า “โครต” คำยอดฮิตของวัยรุ่น ไม่รู้เพราะสับสนกับคำว่า “เปรต” หรือเพราะในเกมออนไลน์บางเกมมันเซ็นเซอร์คำนี้ก็ไม่รู้ เลยดัดแปลงคำซะเลยจะได้พิมพ์ได้ แล้วก็ติดตามาเป็น “โครต” ในปัจจุบัน
14. ค่ะ
แปลว่า คำรับที่ผู้หญิงใช้
มัก เขียนผิดเป็นคำว่า “คะ” คำนี้ไม่ได้เขียนผิดอะไรหรอก แต่ใช้เสียงสูงเสียงต่ำผิด ถ้าจะพูดให้เสียงยาวก็เป็น “คะ” ใช้ต่อท้ายประโยคคำถาม แต่บางทีก็ใช้ “ค่ะ” ยัดลงไปเลย
15. เว็บไซต์
แปลว่า (ไม่รู้อ่ะ แต่มาจากภาษาอังกฤษคำว่า “web” แปลว่า ใยแมงมุม ตาข่าย และ “site” แปลว่า กำหนดสถานที่ตั้ง ตั้งอยู่)
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “เวปไซด์” คำว่า “เวป” อาจติดมาจาก “WAP”
แต่คำว่า “ไซด์” ที่เขียนผิดอาจมาจากคำว่า “side” ที่แปลว่า ด้านข้าง เห็นด้วย (เกี่ยวอะไรกัน?)
16.โอกาส
แปลว่า ช่อง จังหวะ เวลาที่เหมาะ
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “โอกาศ” สงสัยติดมาจากคำว่า “อากาศ”
17.เกม
แปลว่า การแข่งขันการละเล่นเพื่อนความสนุก ลักษณะนามเรียกการแข่งขันจบลงคราวหนึ่งๆ
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “เกมส์”อันนี้เราไม่แน่ใจนะ แต่ถ้าจะให้มีความหมาย
ในภาษาไทยต้องใช้ “เกม” เพราะมันมาจากคำว่า “game” ในภาษาอังกฤษ
18.ไหม
แปลว่า ชื่อแมลงชนิดหนึ่งมีใยใช้ทอผ้า เป็นคำถาม
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “มั้ย” ที่เปลี่ยนไปอาจเป็นเพราะเพื่อให้เสียงสูงขึ้น
เพราะถ้าใช้คำว่า ไม้ มันจะกลายเป็นอีกคำถ้าใช้ ไม๊ นี่อ่านไม่ออกเลย -*-
อาทิเช่น
“อารัย” = อะไร ไม่ใช่ อาลัย
“ที่นั้น” = ที่นั่น เป็นการผันวรรณยุกต์ที่ผิด
“นะค่ะ” = นะคะ ผันวรรณยุกต์ผิดเช่นกัน
“คับผม” = ครับผม อาจเกิดจากการรีบพิมพ์ ขอให้ออกเสียงได้เป็นพอ
“หรอ” = เหรอ ไม่ใช่ หรอจาก “ร่อยหรอ”
“แร้ว” = แล้ว ไม่ใช่ “แร้ว” ที่แปลว่ากับดักนก
“งัย” = ไง
“ครัย” = ใคร
“เกมส์” = เกม ไม่ต้องเติม ส์
“เดล” = เป็นคำภาษาอังกฤษจากคำว่า “Deal” อ่านว่า “ดีล”
“สาด” = สัตว์ เป็นศัพท์วัยรุ่น ลากเสียงให้ยาวขึ้นเพื่อเลี่ยงระบบกรองคำหยาบ
“กวย” = เช่นเดียวกับคำด้านบน เปลี่ยนพยัญชนะเพื่อเลี่ยงระบบ
“ไฟใหม้” = ไฟไหม้
“หวัดดี” = สวัสดี ไม่ใช่ การเป็นหวัดเป็นเรื่องที่ดี
“สำคัน” = สำคัญ บางทีอาจจำสลับกับ “สังคัง” ที่เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง
“หน้ารัก” = น่ารัก ไม่ใช่ รักเพราะหน้า
“ฆ้อน” = ค้อน ผู้ใช้อาจสับสนกับ “ฆ้อง” ที่เป็นเครื่องดนตรี
“สัสดี” = ทหารยศหนึ่ง เข้าใจว่าพิมพ์ผิดจากคำว่า “สวัสดี”
“555″ = เสียงหัวเราะ มาจาก”ฮ่าๆๆ” ดัดแปลงมาเป็น”ห้าห้าห้า”
..................................
เพิ่มเติมคำอื่นๆที่มักเขียนผิด
เริ่มจาก พยัญชนะ ก
คำที่มักเขียนผิด ----> คำที่เขียนถูกต้อง
กงศุล ------ กงสุล
กฏ--------> กฎ
กฏหมาย --------> กฎหมาย
กลบ(เต็ม, แน่น) ------> กบ
กบฎ, กบถ ------> กบฏ
กันไกร ------> กรรไกร
กันเชียง ------> กรรเชียง
กันโชก ------> กรรโชก
กันไตร ------> กรรไตร
กรรมบท ------> กรรมบถ
กรรมพันธ์ ------> กรรมพันธุ์
กรรมสิทธิ ------> กรรมสิทธิ์
ตรวจน้ำ ------> กรวดน้ำ
กล่อน ------> กร่อน
กระจิ๊ดริด, กะจิ๊ดริด ------> กระจิริด
กระเฌอ, กะเฌอ ------> กระเชอ (ภาชนะสาน)
กระตือรือล้น, กะตือรือล้น ------> กระตือรือร้น
กะเทือน ------> กระเทือน
ขะบวนการยุติธรรม ------> กระบานการยุติธรรม
กระเบียดกระเสียน, กะเบียดกะเสียน ------> กระเบียดกระเสียร
กะปรี้กะเปร่า ------> กระปี้กระเปร่า
กะเพาะ ------> กระเพาะ
กระสันต์ ------> กระสัน
กระแสร์น้ำ ------> กระแสน้ำ
กนก (ทอง) ต่างจาก(!=) กระหนก (ลายไทย)
กะหืดกะหอบ ------> กระหืดกระหอบ
กิริยา (มารยาท)!= กริยา (แสดงอาการ)
ก๋วยเตี๋ยวลาดหน้า ------> ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า
กเลวราก ------> กเฬวราก
ก็อก ------> ก๊อก
กอป, กอบร ------> กอปร
ก้อล่อก้อติก, ก้อล่อก้อติด ------> ก้อร่อก้อติก
กระทัดรัด ------> กะทัดรัด
กระทันหัน ------> กะทันหัน
กระทิ ------> กะทิ
กระเทาะ ------> กะเทาะ
กระปริบกระปรอย ------> กะปริบกะปรอย
กระโปโล, กะโปโร ------> กะโปโล
กระพง ------> กะพง
กระเพรา ------> กะเพรา
กระลา ------> กะลา
กระเล่อกระล่า ------> กะเล่อกะล่า
หรี่ปั๊บ, กระหรี่พั๊บ ------> กะหรี่ปั๊บ
กระโหลก ------> กะโหลก
กักขละ ------> กักขฬะ
กังวาล ------> กังวาน
กังสดาน ------> กังสดาล
กันชา ------> กัญชา
กันดาล (กลาง) != กันดาร (อัตคัด)
กัปป์ ------> กัป
กัล ------> กัลป์
กากะบาท, กากบาด ------> กากบาท
กามารมย์ ------> กามารมณ์
การะบูร, การะบูน, การบูน ------> การบูร
กาละเทศะ ------> กาลเทศะ
กร้าวร้าว ------> ก้าวร้าว
กำเหนิด ------> กำเนิด
กิจลักษณะ ------> กิจจะลักษณะ
กิติกรรมประกาศ ------> กิตติกรรมประกาศ
กิติมศัดิ์ ------> กิตติมศักดิ์
กุดฐัง ------> กุฏฐัง
เกล็ดความรู้ ------> เกร็ดความรู้
เกล็ดพงศาวดาร ------> เกร็ดพงศาวดาร
เกร็ดปลา ------> เกล็ดปลา
เกษา ------> เกศา
เกษียนอายุ, เกษียรอายุ ------> เกษียณอายุ
เกษียณหนังสือ, เกษียรหนังสือ ------> เกษียนหนังสือ
เกษียณสมุทร, เกษียนสมุทร ------> เกษียรสมุทร
เกษร ------> เกสร
เกินดุลย์ ------> เกินดุล
โกฎ ------> โกฏิ (๑๐ ล้าน)
โกฐ (เครื่องยาสมุนไพร) != โกศ (ที่ใส่ศพ)
พยัญชนะ ข
ค่น ----> ข้น
ค่นแค้น ----> ข้นแค้น
ขบฏ ----> ขบถ
ขะบวน ----> ขบวน
ข่มเหงเคนงร้าย, ข่มเหงคเนงร้าย ----> ข่มเหงคะเนงร้าย
ขมีขะหมัน ----> ขมีขมัน
ขะโมย, โขมย ----> ขโมย
ขลิบ (เยื่อหุ่มริมเพื่อกันลุ่ย) != ขริบ (ตัดเล็มด้วยตะไกร)
ขรุกขริก ----> ขลุกขลิก
ขมักเขม้น, ขะมักขะเม่น, คะมักคะเม่น ----> ขะมักเขม้น
ขมุกขมอม ----> ขะมุกขะมอม
เขย้อแขย่ง ----> ขะเย้อแขย่ง
ขันทศกร ----> ขัณฑสกร
ขัดสมาส ----> ขัดสมาธิ
ขันเชนาะ ----> ขันชะเนาะ
คั่ว (เอาของใส่กระทะตั้งไฟคน) != ขั้ว (ส่วนที่ต่อของก้านดอกไม้)
ขาดดุลย์ ----> ขาดดุล
ข้าวกลบหม้อ ----> ข้าวกบหม้อ
เข้าของ ----> ข้าวของ (สิ่งของต่าง ๆ)
ข้าวโภช, ข้าวโภชน์ ----> ข้าวโพด
ข้าวลาดแกง ----> ข้าวราดแกง
ขีดขั้น (เกณฑ์กำหนด) != ขีดคั่น (จำกัด)
ขี้เฒ่า, ขี้เท่า ----> ขี้เถ้า
ขี้ลาดโทษล่อง, ขี้ลาดโทษร่อง ----> ขี้ราดโทษล่อง
เข็มฟัก ----> เข็มควัก
ขเม็ดขแม่, ขเม็ดแขม่ ----> เขม็ดแขม่
ขเยก, ขะเหยก ----> เขยก
ขะเหยิน ----> เขยิน
เข้าฌาณ ----> เข้าฌาน
เข้ารีด ----> เข้ารีต
ขโยกขเยก, ขะโหยกขะเหยก ----> โขยกเขยก
ไข่มุกข์, ไข่มุกด์, ไข่มุข ----> ไข่มุก
ไข้สันนิบาติ ----> ไข้สันนิบาต
พยัญชนะ ค
คณณา ----> คณนา
คธา ----> คฑา
คณโฑ ----> คนโท
คันลอง, คัลลอง ----> ครรลอง
คลอก (ไฟล้อมเผาออกไม่ได้) != ครอก (ฝูงลูกสัตว์ที่เกิดร่วมกันคราวเดียว)
คลองแคลง ----> ครองแครง
ครองราช ----> ครองราชย์
ครอบคุม ----> ครอบคลุม
คริสต์กาล ----> คริสตกาล
คริสต์จักร ----> คริสตจักร
คริสตศตวรรษ ----> คริสต์ศตวรรษ
คริสตศาสนา ----> คริสต์ศาสนา
คริสตศาสนิกชน ----> คริสต์ศาสนิกชน
ครุธ ----> ครุฑ
คุรุภัณฑ์ ----> ครุภัณฑ์
คฤหาสถ์ ----> คฤหาสน์
คราคร่ำ, คลาคร่ำ ----> คลาคล่ำ
ครางแครง ----> คลางแคลง
คลีนิค, คลีนิก, คลินิค ----> คลินิก
คลื่นเหียร ----> คลื่นเหียน
คลุมเคลือ, ครุมเคลือ ----> คลุมเครือ, ครุมเครือ
ขวั้น (หัวขั้ว), ฟั่น (ทำสิ่งเป็นเส้นให้เข้าเกลียวกัน) != ควั่น (ทำรอยด้วยคมมีดโดยรอบ)
ขวั้นจุก, ฟั่นจุก ----> ควั่นจุก
ขวั้นอ้อย, ฟั่นอ้อย ----> ควั่นอ้อย
ควินนิน ----> ควินิน
ฆ้อน ----> ค้อน (เครื่องมือสำหรับทุบ)
คอนกรีด ----> คอนกรีต
ข้อนขอด ----> ค่อนขอด
คอนแวนท์ ----> คอนแวนต์
คอนเสิร์ท ----> คอนเสิร์ต
คอมมูนิสต์ ----> คอมมิวนิสต์
ค๊ะ ----> คะ
คนอง ----> คะนอง
คนึง ----> คะนึง
คมำ ----> คะมำ
ขยั้นขะยอ, ขะยั้นขะยอ ----> คะยั้นคะยอ
ขั้น (ขั้นที่ทำลดหลั่นกันเป็นลำดับ) != คั่น (แทรกหรือกั้นอยู่ระหว่าง)
คันดาน ----> คันดาล
คำภีร์ ----> คัมภีร์
คาระวะ ----> คารวะ
คำนวน ----> คำนวณ
คุ๊กกี้ ----> คุกกี้
คู่กรณีย์ ----> คู่กรณี
เค็ก ----> เค้ก
เครื่องยนตร์ ----> เครื่องยนต์
เครื่องลาง ----> เครื่องราง
เครื่องราชอิสสริยาภรณ์ ----> เครื่องราชอิสริยาภรณ์
เครื่องสำอางค์ ----> เรื่องสำอาง
เคหะสงเคราะห์ ----> เคหสงเคราะห์
เคี่ยวเข็น ----> เคี่ยวเข็ญ
แคตาลอก, แคตตาล็อก ----> แค็ตตาล็อก
แครอรี ----> แคลอรี
โคต ----> ตระกูล
โครงการณ์ ----> โครงการ
โควต้า ----> โควตา
พยัญชนะ ง
งบดุลย์ ----> งบดุล
งึมงัม ----> งึมงำ
งูสวัสดิ์ ----> งูสวัด
เงินทดลอง ----> เงินทดรอง
เงินลองจ่าย ----> เงินรองจ่าย
โง่เหง้า ----> โง่เง่า
พยัญชนะ จ
จงกลณี ----> จงกลนี
จตุสดม, จัตุสดม ----> จตุสดมภ์, จัตุสดมภ์
จรเข้ ----> จระเข้
จราจล ----> จลาจล
จาละเม็ด ----> จะละเม็ด
จาละหวั่น ----> จะละหวั่น, จ้าละหวั่น
จั๊กจั่น ----> จักจั่น
จักร์ ----> จักร
จักรพรรดิ์ ----> จักรพรรดิ
จักรวรรดิ์ ----> จักรวรรดิ
จักรวาฬ ----> จักรวาล
จันทาล, จันฑาล ----> จัณฑาล
จัดสรรค์ ----> จัดสรร
จัตุรมุก, จตุรมุก, จตุรมุข ----> จัตุรมุข
จตุรัส ----> จัตุรัส
จันทน์กะพล้อ, จันทร์กะพ้อ, จันทร์กะพล้อ ----> จันทน์กะพ้อ
จันทร์เทศ ----> จันทน์เทศ
จันทร์ผา ----> จันทน์ผา
จันทร์อับ ----> จันอับ
จับไฉ่ ----> จับฉ่าย
จาระนัย, จารไน ----> จาระไน
จำนงค์ ----> จำนง
จิตกาธาร ----> จิตกาธาน
จุล (เล็ก, น้อย) != จุณ, จรุณ (ของที่ละเอียด, ผง)
จุดใต้ตำตอ ----> จุดไต้ตำตอ
จุมพิศ ----> จุมพิต
จุลทัศน์ ----> จุลทรรศน์ (กล้อง)
เจ็ก ----> เจ๊ก
เจดียทิศ ----> เจดียสถาน
เจตจำนงค์ ----> เจตจำนง
เจตนารมย์ ----> เจตนารมณ์
เจตภูติ ----> เจตภูต
เจียรไน, เจียระนัย ----> เจียระไน
โจทย์จำเลย ----> โจทย์จำเลย
โจทก์เลข ----> โจทย์เลข
โจทจัน, โจทย์จัน, โจษจรรย์ ----> โจษจัน
พยัญชนะ ฉ
ฉะกาจ ----> ฉกาจ
ฉะบับ ----> ฉบับ
ฉนั้น ----> ฉะนั้น
ฉนี้ ----> ฉะนี้
ฉอ้อน ----> ฉะอ้อน
ฉัตรทันต์ ----> ฉัททันต์
ฉันท์ญาติ, ฉันท์ญาต, ฉันญาต ----> ฉันญาติ
ฉะเพาะ ----> เฉพาะ
ขอบคุณ....http://www.baanbaimai.com/forum/index.php?topic=10497.0
การผ่าแตงโมให้เหลือเมล็ดน้อยที่สุด



การผ่าแตงโมก็ต้องมีเทคนิกเหมือนกัน เขาว่ามาว่าอย่างนั้นค่ะ... อันนี้ก็คงจะเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยชอบรับประทานแตงโม
เพราะเหตุที่ว่ามันมีเม็ดมากบางท่าน ลองจำวิธีนี้ไปใช้ดูนะคะ บางทีอาจจะชอบทานแตงโมขึ้นมา บ้างก็อาจที่จะเป็นไปได้เหมือนกันนะคะ
ที่มา http://sukumal.brinkster.net
จงขจัดตัว "ว" ออกจากชีวิต
จงขจัดตัว "ว" ออกจากชีวิต
ถ้าคุณสังเกตจะแปลกใจว่า คำไทยแท้ที่ออกเสียง “ว” เกือบทั้งสิ้นล้วนแสดงลักษณะทางลบของคุณภาพ, บุคลิกภาพ, อุปนิสัย, ความรู้สึก ฯลฯ หาความ “ดี” หรือความ “งาม” ไม่พบ ซ้ำร้ายยังทำให้สุขภาพจิตของผู้เป็นเจ้าของคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ นั้นๆ เสื่อมอีกด้วย
ไม่มีใครมีความสุขและสุขภาพจิตก็ คงเสื่อมถ้าเขาผู้นั้น จมูกโหว่ ปากแหว่ง สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น เป็นหวัด หวุดหวิดจะถูกรถชน เป็นแผลเหวอะหวะ เกิดอาการวิงเวียนใจหวิว ถูกไฟไหม้วอดจนใจหายวาบ แทบจะหัวใจวาย
นอกจากคำที่ออกเสียง “ว” เหล่านั้นจะทำให้เจ้าของลักษณะหรืออาการนั้นสุขภาพจิตเสื่อมแล้ว ยังมีคำไทยแท้ออกเสียง “ว” หลายคำที่ทำให้ใครๆ ไม่รักและไม่อยากคบอีกด้วย
ไม่มีใครอยากเข้าใกล้คน “มือไว”
ผู้ชายที่มีรสนิยมแห่งเพศตรงข้ามสูงย่อมรังเกียจผู้หญิง “ไวไฟ”
ลองวาดภาพผู้หญิงสาวแสนสวยคนหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะบุคลิกภาพล้วนบรรยายด้วยอักษร “ว” ทั้งสิ้น ดังนี้
เป็น คนโวยวาย โว้เว้ ส่งเสียงโหวกเหวก อ้าปากหวอ อารมณ์วู่วาม และหวั่นไหวง่าย ชอบคุยโว จิตใจว้าวุ่น มักวอแว หวาดหวั่น วอกแวก มีชีวิตอยู่อย่างว้าเหว่ ขาดเพื่อน และไวไฟกับผู้ชาย
คนสติดีที่ไหนเล่าจะรักผู้หญิงชนิดนี้ แม้เธอจะมีรูปโฉมระดับนางงามจักรวาล
คน โวยวาย เป็นคนประเภทขาดความอดทน เมื่อไม่ได้ดังใจ หรือเกิดความคับข้องใจแม้เพียงเล็กน้อยซึ่งคนอื่นส่วนมากทนได้ เขาจะทนไม่ได้และเก็บไว้ในใจไม่อยู่ ต้องแสดงความไม่พอใจ, บ่น, ด่า หรือคร่ำครวญให้ผู้อื่นฟังไม่เลือกหน้า จึงทำให้คนรอบข้างเบื่อหน่ายรำคาญไม่อยากเข้าใกล้
แต่คนที่เก็บทุกอย่างไว้ในใจ ไม่ระบายออกเสียบ้างเลย คือ ไม่เคยโวยวายเลยไม่ว่าความทุกข์นั้นใหญ่หลวงสักปานใด ก็เป็นคนสุขภาพจิตเสื่อม จนอาจถึงกับเป็นโรคไซโคโซมาติคหรือโรคประสาทบางชนิดได้
โปรดอย่าเข้าใจผิดว่า คนเงียบเก็บความรู้สึกทุกอย่าง เป็นคน “ดี” กับคนอื่นไม่เลือกหน้าและตลอดเวลา อย่างที่เราชอบพูดกันติดปากว่า “nice” เหลือเกิน (ไม่ใช่ “nice” เฉยๆ) นั้น เนื้อแท้จะเป็นคนน่ารัก และน่าคบทุกคนไป
คนเงียบเกินไปและเก็บความรู้สึกเกินไปไม่น่าเข้าใกล้เท่าใดนัก เพราะไม่สามารถหยั่งอารมณ์และความรู้สึกของเขาได้ ไม่มีใครชอบชายคนชาเย็นและลึกลับ เพราะไม่ทราบว่าเขาซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ที่ใดบ้าง คนอบอุ่นและเปิดเผยน่าคบกว่า เพราะสื่อนำความรู้สึกและอารมณ์ต่อกันได้ดีกว่า ถ้าต้องใช้ชีวิตผูกพันกับคนเงียบเกินไป คุณจะอึดอัดเมื่อมีความขัดแย้งหรือความขุ่นข้องเขาจะนิ่ง คุณจึงลำบากใจและหนักอก แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร
ส่วนคนที่ดีเกินไป หรือ “nice” เกินไป นั้น ดูผิวเผินช่างมีเสน่ห์น่ารัก เพราะไม่เคยโกรธใคร, ไม่เคยขัดใจใคร, ไม่เคยโวยวายแม้เมื่อถูกเอารัดเอาเปรียบ ฯลฯ แท้จริงในจิตไร้สำนึก เขาอาจมีความก้าวร้าว และความไม่เป็นมิตรอยู่มากมาย จึงต้องใช้จิตกลไกลชนิดทำตรงกันข้าม หรือเขาอาจเป็นคนขาดความรักมาแต่วัยเด็ก จึงต้องใฝ่หาความรักจากผู้อื่นไม่รู้จักพอ ด้วยการเป็นคนดีเกินปกติ
เพราะฉะนั้น จงเป็นคน “ดี” แต่พอดี ถ้าดีเกินพอดีอาจจะกลายเป็นไม่ดี
คนไม่โวยวายเมื่อควรโวยวาย คือ เมื่อความทุกข์เกินขีดความอดทนต้องฆ่าตัวตายมาแล้วหลายราย แต่คนที่ทั้งโวยวาย และวู่วามไม่เลือกกาลเทศะก็ถูกฆ่าตายมาแล้วหลายรายเช่นกัน
ฉะนั้น เมื่อเผชิญปัญหาชีวิตหนักหน่วง มีความทุกข์หรือความเดือดร้อนมากเกินขีดความอดทน ก็จงโวยวายออกมาเสียบ้าง แต่ต้องรู้จักเลือกคนรับฟังและรับอารมณ์ของคุณได้ และอย่าโวยวายพร่ำเพรื่อ แล้วคุณจะทั้งสุขภาพจิตดีทั้งเป็นที่รักของใครๆ
คนวู่วาม คือ คนวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ ขาดความยับยั้ง และขาดความสามารถควบคุมอารมณ์ จึงเหมือนทารก หรืออาจเป็นพวกบุคลิกภาพผิดปกติชนิดที่เรียกว่า “Explosive Personality” ซึ่งถือว่าเป็นความผิดปกติทางจิตเวชชนิดหนึ่งให้โทษทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ความวู่วามโกรธง่ายทำลายบุคลิกภาพที่ดีงาม ทำให้ผู้อื่นเสื่อมความนิยม ทำให้แก่เร็ว และทำให้ตนเองและผู้เข้าใกล้สุขภาพจิตเสื่อม ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนวู่วามต้องรีบแก้ไข แม้จะไม่ง่ายนัก แต่ถ้าตั้งใจก็ไม่ยากเกินไป ถ้าเกินกำลังจะแก้ไขเองต้องขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์ เพราะถ้าทิ้งไว้ไม่แก้ วันใดวันหนึ่งคุณอาจจะเคราะห์ร้ายไปวู่วามผิดคน ผิดจังหวะเข้า ก็อาจถึงกับวางวายได้
คนโว คือ คนขี้โมโห, ขี้คุย, ขี้อวด, ขาดความถ่อมตัว ไปที่ใดจึงมีแต่คนรำคาญหรือหมั่นไส้ และไม่น่ารักในสายตาของใครสักคนเดียว เนื้อแท้ของคนประเภทนี้คือ เป็นคนมีปมด้อย เช่น บางคนฉลาดแต่ขี้เหร่, บางคนสวยแต่โง่, บางคนร่ำรวยแต่มีต้นตระกูลยากไร้และต่ำต้อย บางคนเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ จึงต้องใช้จิตกลไกชนิดชดเชย เพื่อลบล้างปมด้อย
ปมด้อยของเราสามารถชดเชยได้ทาง อื่นที่ไม่ใช่การโว โดยใช้จิตกลไกอันเดียวกันนี้ แต่อย่าถูกทาง อับราฮัม ลินคอล์น ผู้ยากจนอาศัยแสงเทียนไข อ่านกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่ใช้ห่อของ ได้กลายเป็นประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา และเป็นบุรุษแห่งประวัติศาสตร์คนหนึ่งของโลก
คนวอกแวก คือ คนขาดสมาธิ, จิตใจไม่สงบ โดยมากเกิดจากความวิตกกังวล ซึ่งถ้ามีมากเกินไปหรือหาทางออกไม่ได้ อาจกลายเป็นโรคประสาท ถ้ารู้ตัวว่าจิตใจวอกแวกมากจนรบกวนการทำงานหรือการเรียน ควรปรึกษาจิตแพทย์
คนหวาดหวั่น อาการหวาดหวั่นรุนแรง มีความกลัวหรือความพรั่นพรึงเป็นเจ้าเรือนตลอดเวลา มักพบในโรคประสาท หรือโรคจิตบางชนิด ถ้าหวาดหวั่นกระวนกระวายและซึมเศร้าอย่างมากร่วมด้วยในวัยต่อ คือวัยประมาณ 45-55 ปีในหญิง และ 50-60 ปีในชาย ก็น่าสงสัยว่าจะเป็นโรคจิตซึมเศร้าในวัยต่อ
คนหวั่นไหวง่าย อาจหมายถึง อารมณ์หวั่นไหวง่าย หรืออารมณ์ไม่คงเส้นคงวาเปลี่ยนตามสิ่งแวดล้อมได้ง่าย และยอมให้สิ่งเร้าต่างๆ เป็นนายของอารมณ์หรือาจหมายความว่าหวั่นไหวง่ายต่อคำติชมของผู้อื่น เพราะต้องการการค้ำจุนใจจากผู้อื่นมาก จึงเป็นคนไม่มีความสุข เหมือนเอาชีวิตของตนไปผูกแขวนไว้กับท่าทีและถ้อยคำของคนอื่นเป็นลักษณะของคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดความมั่นคงทางใจ เป็นผลจากภูมิหลังของบุคลิกภาพแต่เยาว์วัย ถ้าเราเชื่อว่า เราได้ตัดสินใจทำสิ่งใดอย่างรอบคอบถูกต้อง และอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้แล้ว จงพอใจไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และถือว่าคำวิจารณ์ที่ตามมานั้นหาใช่ธุระกงการอะไรของเราไม่
คนวอแว คำว่า “วอแว” พจนานุกรมแปลว่า รบกวน, เซ้าซี้ เพราะฉะนั้น คงไม่ต้องอธิบายว่าเหตุใดคนวอแวจึงทำให้สุขภาพจิตของคนอื่นเสื่อม และทำให้ไม่มีใครรัก
คนโว้เว้ คำว่า “โว้เว้” พจนานุกรม แปลว่า พูดหาเรื่อง, พูดเหลวไหล ทำเหลวไหล คนมีปัญญาที่ไหนเล่าจะรักคนโว้เว้ และแน่นอนเหลือเกินว่า คนโว้เว้เข้าใกล้ใครรังแต่จะบั่นทอนสุขภาพจิตของผู้นั้น
นอกจากนั้น ยังมีคำไทยแท้ออกเสียง “ว” อีกสองคำ ซึ่งเป็นประเภทดาบสองคมสุดแต่คุณจะเลือกใช้คือ ถ้าคุณเลือก เว้าวอน เฉพาะกับคนที่คุณมีสิทธิตามกฎหมายและศีลธรรมให้ เขาวาบหวาม จะด้วยสายตา, วาจา หรือ การสัมผัสของคุณก็ตาม ทั้งคุณและเขาจะมีสุขภาพจิตดีขึ้น แต่ถ้าคุณเผอิญไปเว้าวอนเอาคนที่คุณไม่มีสิทธิตามกฎหมาย หรือศีลธรรมเข้าจนเขาวาบหวาม ผลที่ได้รับอาจกลับหน้ามือเป็นหลังมือ คือ สุขภาพจิตทั้งของคุณและของเขา จะเสื่อมอย่างร้ายกาจ เพราะชีวิตของคุณจะพบแต่ความวุ่นวาย จิตใจก็จะมีแต่ความหวาดหวั่น มิหนำซ้ำคุณยังได้ชื่อว่าทำลายสุขภาพจิตของบุคคลที่สามอย่างไร้ศีลธรรมอีกด้วย ซ้ำร้ายถ้าบุคคลที่สามคือคู่หมั้น หรือภรรยาของเขาวู่วามถึงขีด คุณก็อาจถึงกับเหวอะหวะจนหวุดหวิดจะวางวายได้
มีคำไทยแท้ออกเสียง “ว” เพียงสองคำเท่านั้นที่นอกจากจะไร้ “พิษ” และ ปลอด “ภัย” ต่อตนเองและผู้อื่นแล้ว ยังช่วยสร้างเสริมสุขภาพจิตเป็นอย่างดียิ่ง สองคำนั้นคือ “ความหวัง” กับ “ความหวาน”
จงหว่านเพาะความหวังและความหวาน แล้วหมั่นรดน้ำพรวนดินด้วยน้ำใจ, ไมตรีจิตและความจริงใจ ให้มันงอกงาม ผลิดอกออกช่อบานสะพรั่งเต็มหัวใจของคุณ แล้วแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาสดชื่นร่มเย็นแก่ชีวิตของผู้อื่นด้วย
ถ้าคุณสามารถฝึกจิตใจให้บรรจุแต่ความหวังและความหวาน แล้วยังสามารถปลุกผู้อื่นให้เกิดความหวัง และเจือจานความหวานแห่งชีวิตให้แก่เขาด้วย คุณย่อมจะมีแต่ความสุข ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้ความสุขแก่ผู้อื่นอีกโสดหนึ่ง แถมได้รับผลพลอยได้ที่ปุถุชนจิตใจปกติทุกคนย่อมอยากได้คือ ได้เป็นที่รักของทุกคนที่เข้าใกล้คุณ
ที่มาของข้อมูล: จากบทความเพื่อสุขภาพจิต ของ แพทย์หญิงสุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
ถ้าคุณสังเกตจะแปลกใจว่า คำไทยแท้ที่ออกเสียง “ว” เกือบทั้งสิ้นล้วนแสดงลักษณะทางลบของคุณภาพ, บุคลิกภาพ, อุปนิสัย, ความรู้สึก ฯลฯ หาความ “ดี” หรือความ “งาม” ไม่พบ ซ้ำร้ายยังทำให้สุขภาพจิตของผู้เป็นเจ้าของคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ นั้นๆ เสื่อมอีกด้วย
ไม่มีใครมีความสุขและสุขภาพจิตก็ คงเสื่อมถ้าเขาผู้นั้น จมูกโหว่ ปากแหว่ง สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น เป็นหวัด หวุดหวิดจะถูกรถชน เป็นแผลเหวอะหวะ เกิดอาการวิงเวียนใจหวิว ถูกไฟไหม้วอดจนใจหายวาบ แทบจะหัวใจวาย
นอกจากคำที่ออกเสียง “ว” เหล่านั้นจะทำให้เจ้าของลักษณะหรืออาการนั้นสุขภาพจิตเสื่อมแล้ว ยังมีคำไทยแท้ออกเสียง “ว” หลายคำที่ทำให้ใครๆ ไม่รักและไม่อยากคบอีกด้วย
ไม่มีใครอยากเข้าใกล้คน “มือไว”
ผู้ชายที่มีรสนิยมแห่งเพศตรงข้ามสูงย่อมรังเกียจผู้หญิง “ไวไฟ”
ลองวาดภาพผู้หญิงสาวแสนสวยคนหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะบุคลิกภาพล้วนบรรยายด้วยอักษร “ว” ทั้งสิ้น ดังนี้
เป็น คนโวยวาย โว้เว้ ส่งเสียงโหวกเหวก อ้าปากหวอ อารมณ์วู่วาม และหวั่นไหวง่าย ชอบคุยโว จิตใจว้าวุ่น มักวอแว หวาดหวั่น วอกแวก มีชีวิตอยู่อย่างว้าเหว่ ขาดเพื่อน และไวไฟกับผู้ชาย
คนสติดีที่ไหนเล่าจะรักผู้หญิงชนิดนี้ แม้เธอจะมีรูปโฉมระดับนางงามจักรวาล
คน โวยวาย เป็นคนประเภทขาดความอดทน เมื่อไม่ได้ดังใจ หรือเกิดความคับข้องใจแม้เพียงเล็กน้อยซึ่งคนอื่นส่วนมากทนได้ เขาจะทนไม่ได้และเก็บไว้ในใจไม่อยู่ ต้องแสดงความไม่พอใจ, บ่น, ด่า หรือคร่ำครวญให้ผู้อื่นฟังไม่เลือกหน้า จึงทำให้คนรอบข้างเบื่อหน่ายรำคาญไม่อยากเข้าใกล้
แต่คนที่เก็บทุกอย่างไว้ในใจ ไม่ระบายออกเสียบ้างเลย คือ ไม่เคยโวยวายเลยไม่ว่าความทุกข์นั้นใหญ่หลวงสักปานใด ก็เป็นคนสุขภาพจิตเสื่อม จนอาจถึงกับเป็นโรคไซโคโซมาติคหรือโรคประสาทบางชนิดได้
โปรดอย่าเข้าใจผิดว่า คนเงียบเก็บความรู้สึกทุกอย่าง เป็นคน “ดี” กับคนอื่นไม่เลือกหน้าและตลอดเวลา อย่างที่เราชอบพูดกันติดปากว่า “nice” เหลือเกิน (ไม่ใช่ “nice” เฉยๆ) นั้น เนื้อแท้จะเป็นคนน่ารัก และน่าคบทุกคนไป
คนเงียบเกินไปและเก็บความรู้สึกเกินไปไม่น่าเข้าใกล้เท่าใดนัก เพราะไม่สามารถหยั่งอารมณ์และความรู้สึกของเขาได้ ไม่มีใครชอบชายคนชาเย็นและลึกลับ เพราะไม่ทราบว่าเขาซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ที่ใดบ้าง คนอบอุ่นและเปิดเผยน่าคบกว่า เพราะสื่อนำความรู้สึกและอารมณ์ต่อกันได้ดีกว่า ถ้าต้องใช้ชีวิตผูกพันกับคนเงียบเกินไป คุณจะอึดอัดเมื่อมีความขัดแย้งหรือความขุ่นข้องเขาจะนิ่ง คุณจึงลำบากใจและหนักอก แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร
ส่วนคนที่ดีเกินไป หรือ “nice” เกินไป นั้น ดูผิวเผินช่างมีเสน่ห์น่ารัก เพราะไม่เคยโกรธใคร, ไม่เคยขัดใจใคร, ไม่เคยโวยวายแม้เมื่อถูกเอารัดเอาเปรียบ ฯลฯ แท้จริงในจิตไร้สำนึก เขาอาจมีความก้าวร้าว และความไม่เป็นมิตรอยู่มากมาย จึงต้องใช้จิตกลไกลชนิดทำตรงกันข้าม หรือเขาอาจเป็นคนขาดความรักมาแต่วัยเด็ก จึงต้องใฝ่หาความรักจากผู้อื่นไม่รู้จักพอ ด้วยการเป็นคนดีเกินปกติ
เพราะฉะนั้น จงเป็นคน “ดี” แต่พอดี ถ้าดีเกินพอดีอาจจะกลายเป็นไม่ดี
คนไม่โวยวายเมื่อควรโวยวาย คือ เมื่อความทุกข์เกินขีดความอดทนต้องฆ่าตัวตายมาแล้วหลายราย แต่คนที่ทั้งโวยวาย และวู่วามไม่เลือกกาลเทศะก็ถูกฆ่าตายมาแล้วหลายรายเช่นกัน
ฉะนั้น เมื่อเผชิญปัญหาชีวิตหนักหน่วง มีความทุกข์หรือความเดือดร้อนมากเกินขีดความอดทน ก็จงโวยวายออกมาเสียบ้าง แต่ต้องรู้จักเลือกคนรับฟังและรับอารมณ์ของคุณได้ และอย่าโวยวายพร่ำเพรื่อ แล้วคุณจะทั้งสุขภาพจิตดีทั้งเป็นที่รักของใครๆ
คนวู่วาม คือ คนวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ ขาดความยับยั้ง และขาดความสามารถควบคุมอารมณ์ จึงเหมือนทารก หรืออาจเป็นพวกบุคลิกภาพผิดปกติชนิดที่เรียกว่า “Explosive Personality” ซึ่งถือว่าเป็นความผิดปกติทางจิตเวชชนิดหนึ่งให้โทษทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ความวู่วามโกรธง่ายทำลายบุคลิกภาพที่ดีงาม ทำให้ผู้อื่นเสื่อมความนิยม ทำให้แก่เร็ว และทำให้ตนเองและผู้เข้าใกล้สุขภาพจิตเสื่อม ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนวู่วามต้องรีบแก้ไข แม้จะไม่ง่ายนัก แต่ถ้าตั้งใจก็ไม่ยากเกินไป ถ้าเกินกำลังจะแก้ไขเองต้องขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์ เพราะถ้าทิ้งไว้ไม่แก้ วันใดวันหนึ่งคุณอาจจะเคราะห์ร้ายไปวู่วามผิดคน ผิดจังหวะเข้า ก็อาจถึงกับวางวายได้
คนโว คือ คนขี้โมโห, ขี้คุย, ขี้อวด, ขาดความถ่อมตัว ไปที่ใดจึงมีแต่คนรำคาญหรือหมั่นไส้ และไม่น่ารักในสายตาของใครสักคนเดียว เนื้อแท้ของคนประเภทนี้คือ เป็นคนมีปมด้อย เช่น บางคนฉลาดแต่ขี้เหร่, บางคนสวยแต่โง่, บางคนร่ำรวยแต่มีต้นตระกูลยากไร้และต่ำต้อย บางคนเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ จึงต้องใช้จิตกลไกชนิดชดเชย เพื่อลบล้างปมด้อย
ปมด้อยของเราสามารถชดเชยได้ทาง อื่นที่ไม่ใช่การโว โดยใช้จิตกลไกอันเดียวกันนี้ แต่อย่าถูกทาง อับราฮัม ลินคอล์น ผู้ยากจนอาศัยแสงเทียนไข อ่านกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่ใช้ห่อของ ได้กลายเป็นประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา และเป็นบุรุษแห่งประวัติศาสตร์คนหนึ่งของโลก
คนวอกแวก คือ คนขาดสมาธิ, จิตใจไม่สงบ โดยมากเกิดจากความวิตกกังวล ซึ่งถ้ามีมากเกินไปหรือหาทางออกไม่ได้ อาจกลายเป็นโรคประสาท ถ้ารู้ตัวว่าจิตใจวอกแวกมากจนรบกวนการทำงานหรือการเรียน ควรปรึกษาจิตแพทย์
คนหวาดหวั่น อาการหวาดหวั่นรุนแรง มีความกลัวหรือความพรั่นพรึงเป็นเจ้าเรือนตลอดเวลา มักพบในโรคประสาท หรือโรคจิตบางชนิด ถ้าหวาดหวั่นกระวนกระวายและซึมเศร้าอย่างมากร่วมด้วยในวัยต่อ คือวัยประมาณ 45-55 ปีในหญิง และ 50-60 ปีในชาย ก็น่าสงสัยว่าจะเป็นโรคจิตซึมเศร้าในวัยต่อ
คนหวั่นไหวง่าย อาจหมายถึง อารมณ์หวั่นไหวง่าย หรืออารมณ์ไม่คงเส้นคงวาเปลี่ยนตามสิ่งแวดล้อมได้ง่าย และยอมให้สิ่งเร้าต่างๆ เป็นนายของอารมณ์หรือาจหมายความว่าหวั่นไหวง่ายต่อคำติชมของผู้อื่น เพราะต้องการการค้ำจุนใจจากผู้อื่นมาก จึงเป็นคนไม่มีความสุข เหมือนเอาชีวิตของตนไปผูกแขวนไว้กับท่าทีและถ้อยคำของคนอื่นเป็นลักษณะของคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดความมั่นคงทางใจ เป็นผลจากภูมิหลังของบุคลิกภาพแต่เยาว์วัย ถ้าเราเชื่อว่า เราได้ตัดสินใจทำสิ่งใดอย่างรอบคอบถูกต้อง และอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้แล้ว จงพอใจไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และถือว่าคำวิจารณ์ที่ตามมานั้นหาใช่ธุระกงการอะไรของเราไม่
คนวอแว คำว่า “วอแว” พจนานุกรมแปลว่า รบกวน, เซ้าซี้ เพราะฉะนั้น คงไม่ต้องอธิบายว่าเหตุใดคนวอแวจึงทำให้สุขภาพจิตของคนอื่นเสื่อม และทำให้ไม่มีใครรัก
คนโว้เว้ คำว่า “โว้เว้” พจนานุกรม แปลว่า พูดหาเรื่อง, พูดเหลวไหล ทำเหลวไหล คนมีปัญญาที่ไหนเล่าจะรักคนโว้เว้ และแน่นอนเหลือเกินว่า คนโว้เว้เข้าใกล้ใครรังแต่จะบั่นทอนสุขภาพจิตของผู้นั้น
นอกจากนั้น ยังมีคำไทยแท้ออกเสียง “ว” อีกสองคำ ซึ่งเป็นประเภทดาบสองคมสุดแต่คุณจะเลือกใช้คือ ถ้าคุณเลือก เว้าวอน เฉพาะกับคนที่คุณมีสิทธิตามกฎหมายและศีลธรรมให้ เขาวาบหวาม จะด้วยสายตา, วาจา หรือ การสัมผัสของคุณก็ตาม ทั้งคุณและเขาจะมีสุขภาพจิตดีขึ้น แต่ถ้าคุณเผอิญไปเว้าวอนเอาคนที่คุณไม่มีสิทธิตามกฎหมาย หรือศีลธรรมเข้าจนเขาวาบหวาม ผลที่ได้รับอาจกลับหน้ามือเป็นหลังมือ คือ สุขภาพจิตทั้งของคุณและของเขา จะเสื่อมอย่างร้ายกาจ เพราะชีวิตของคุณจะพบแต่ความวุ่นวาย จิตใจก็จะมีแต่ความหวาดหวั่น มิหนำซ้ำคุณยังได้ชื่อว่าทำลายสุขภาพจิตของบุคคลที่สามอย่างไร้ศีลธรรมอีกด้วย ซ้ำร้ายถ้าบุคคลที่สามคือคู่หมั้น หรือภรรยาของเขาวู่วามถึงขีด คุณก็อาจถึงกับเหวอะหวะจนหวุดหวิดจะวางวายได้
มีคำไทยแท้ออกเสียง “ว” เพียงสองคำเท่านั้นที่นอกจากจะไร้ “พิษ” และ ปลอด “ภัย” ต่อตนเองและผู้อื่นแล้ว ยังช่วยสร้างเสริมสุขภาพจิตเป็นอย่างดียิ่ง สองคำนั้นคือ “ความหวัง” กับ “ความหวาน”
จงหว่านเพาะความหวังและความหวาน แล้วหมั่นรดน้ำพรวนดินด้วยน้ำใจ, ไมตรีจิตและความจริงใจ ให้มันงอกงาม ผลิดอกออกช่อบานสะพรั่งเต็มหัวใจของคุณ แล้วแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาสดชื่นร่มเย็นแก่ชีวิตของผู้อื่นด้วย
ถ้าคุณสามารถฝึกจิตใจให้บรรจุแต่ความหวังและความหวาน แล้วยังสามารถปลุกผู้อื่นให้เกิดความหวัง และเจือจานความหวานแห่งชีวิตให้แก่เขาด้วย คุณย่อมจะมีแต่ความสุข ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้ความสุขแก่ผู้อื่นอีกโสดหนึ่ง แถมได้รับผลพลอยได้ที่ปุถุชนจิตใจปกติทุกคนย่อมอยากได้คือ ได้เป็นที่รักของทุกคนที่เข้าใกล้คุณ
ที่มาของข้อมูล: จากบทความเพื่อสุขภาพจิต ของ แพทย์หญิงสุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)