วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความหมายตราสัญลักษณ์

ความหมายตราสัญลักษณ์
งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ
๕ ธันวาคม ๒๕๕๔

         ตามที่ นายกรัฐมนตรีได้แถลงถึงตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนั้น เนื่องจากตราสัญลักษณ์ดังกล่าวได้แสดงความหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งต้องปฏิบัติต่อตราสัญลักษณ์ด้วยความเคารพ ไม่ให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ดังนั้น เพื่อเป็นการถวายความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ รัฐบาล โดยคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจึงขอเชิญหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วประเทศ ได้พร้อมใจกันอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์/พระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานพร้อมจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชาธงชาติไทยคู่กับธง ภ.ป.ร. หรือธงตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติ ณ  บริเวณหน้าอาคารสำนักงาน อาคารบ้านเรือนที่พักอาศัย เริ่มตั้งแต่วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (วันฉัตรมงคล) ถึง วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยพร้อมเพรียงกัน สำหรับผืนผ้าของธงตราสัญลักษณ์ต้องเป็นสีเหลืองนวล ซึ่งเป็นสีประจำวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
         อักษรพระปรมาภิไธย  ภ.ป.ร. สีเหลืองทอง  อันเป็นสีประจำวันพระบรมราชสมภพ  อยู่กลางตราสัญลักษณ์ขลิบรอบตัวอักษรด้วยสีทอง บนพื้นวงกลมสีน้ำเงิน ล้อมรอบด้วยกรอบโค้งเรียบสีเหลืองทอง  หมายความว่า  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งชาติ  ด้านบนอักษรพระปรมาภิไธยเป็นเลข  ๙ หมายถึง พระมหากษัตริย์พระองค์ที่  ๙  แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เลข ๙ นั้น อยู่ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ อันเป็นเครื่องประกอบพระบรมราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์และเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราช   ถัดลงมาด้านข้างซ้ายขวาของอักษรพระปรมาภิไธยมีลายพุ่มข้าวบิณฑ์สีทอง  ซึ่งมีสัปตปฎลเศวตฉัตรประดิษฐานอยู่เบื้องบน  ด้านนอกสุดเป็นกรอบโค้ง  มีลวดลายสีทองบนพื้นสีเขียว  หมายถึงสีอันเป็นเดชแห่งวันพระบรมราชสมภพ อีกทั้งยังหมายถึงความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์และความสงบร่มเย็น  ด้านล่างอักษร พระปรมาภิไธยเป็นรูปกระต่ายสีขาว กระต่ายนั้นทรงเครื่องอยู่ในลักษณะกำลังก้าวย่างอันหมายถึงปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ตรงกับปีเถาะ ซึ่งมีกระต่ายเป็นเครื่องหมายแห่งปีนักษัตร โดยรูปกระต่ายอยู่บนพื้นสีน้ำเงิน มีลายกระหนกสีทอง อันหมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภาร  เบื้องล่างตราสัญลักษณ์เป็นแพรแถบสีชมพูขลิบทอง เขียนอักษรสีทองความว่า พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

จุลสาร เพื่อการประชาสัมพันธ์ งาน จังหัน


พรบ. คอมพิวเตอร์ 2550

พรบ. คอมพิวเตอร์ 2550 ทุกคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ต้องรู้
พระ บาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมาย ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้ “ระบบคอมพิวเตอร์” หมายความว่า อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมการทำงานเข้าด้วยกัน โดยได้มีการกำหนดคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใด และแนวทางปฏิบัติงานให้อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดย อัตโนมัติ
“ข้อมูลคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูล ข้อความ คำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจ ประมวลผลได้ และให้หมายความรวมถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ด้วย
“ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแสดงถึงแหล่งกำเนิด ต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง เวลา วันที่ ปริมาณ ระยะเวลาชนิดของบริการ หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์นั้น
“ผู้ให้บริการ” หมายความว่า
(๑) ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดยประการอื่น โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในนามของตนเอง หรือในนามหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
(๒) ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
“ผู้ใช้บริการ” หมายความว่า ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการไม่ว่าต้องเสียค่าใช้บริการหรือไม่ก็ตาม
“พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรักษาการตามพระราช บัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด ๑
ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

มาตรา ๕ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดย เฉพาะและมาตรการนั้น มิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๖ ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้น เป็นการเฉพาะถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๗ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง โดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้ง ปรับ

มาตรา ๘ ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคล ทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๙ ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๐ ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๑ ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิด หรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

มาตรา ๑๒ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๐
(๑) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นในทันทีหรือในภายหลัง และไม่ว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
(๒) เป็นการกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือการบริการสาธารณะ หรือเป็นการกระทำต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่มีไว้เพื่อ ประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตาม (๒) เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี

มาตรา ๑๓ ผู้ใดจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อนำไปใช้เป็น เครื่องมือในการกระทำความผิดตามมาตรา ๕ มาตรา ๖ มาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ หรือมาตรา ๑๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๔ ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(๑) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบาง ส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
(๒) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความ ตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(๓) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการ ก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(๔) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(๕) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (๑)(๒) (๓) หรือ (๔)

มาตรา ๑๕ ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๔

มาตรา ๑๖ ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือ
ปรับไม่เกินหก หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่ง เป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยสุจริต ผู้กระทำไม่มีความผิด ความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายในความผิดตามวรรคหนึ่งตายเสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือ บุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย

มาตรา ๑๗ ผู้ใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้นอกราชอาณาจักรและ
(๑) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้นหรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ หรือ
(๒) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนต่างด้าว และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหายและผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ
จะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร

หมวด ๒
พนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา ๑๘ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๙ เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการ กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ เฉพาะที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด และหาตัวผู้กระทำความผิด
(๑) มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามพระราช บัญญัตินี้มาเพื่อให้ถ้อยคำ ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือส่งเอกสาร ข้อมูล หรือหลักฐานอื่นใดที่อยู่ในรูปแบบที่สามารถเข้าใจได้
(๒) เรียกข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์จากผู้ให้บริการเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร ผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรือจากบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง
(๓) สั่งให้ผู้ให้บริการส่งมอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้บริการที่ต้องเก็บตามมาตรา ๒๖ หรือที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมของผู้ให้บริการให้แก่พนักงาน เจ้าหน้าที่
(๔) ทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ จากระบบคอมพิวเตอร์ที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราช บัญญัตินี้ ในกรณีที่ระบบคอมพิวเตอร์นั้นยังมิได้อยู่ในความครอบครองของพนักงาน เจ้าหน้าที่
(๕) สั่งให้บุคคลซึ่งครอบครองหรือควบคุมข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ ส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ดังกล่าวให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
(๖) ตรวจสอบหรือเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคล ใด อันเป็นหลักฐานหรืออาจใช้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือเพื่อสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดและสั่งให้บุคคลนั้นส่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็นให้ด้วยก็ได้
(๗) ถอดรหัสลับของข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลใด หรือสั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเข้ารหัสลับของข้อมูลคอมพิวเตอร์ ทำการถอดรหัสลับ หรือให้ความร่วมมือกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในการถอดรหัสลับดังกล่าว
(๘) ยึดหรืออายัดระบบคอมพิวเตอร์เท่าที่จำเป็นเฉพาะเพื่อประโยชน์ในการทราบ รายละเอียดแห่งความผิดและผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๑๙ การใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ
(๘) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้ พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามคำร้อง ทั้งนี้ คำร้องต้องระบุเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลใดกระทำหรือกำลังจะกระทำการอย่าง หนึ่งอย่างใดอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เหตุที่ต้องใช้อำนาจ ลักษณะของการกระทำความผิด รายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดและผู้กระทำความผิด เท่าที่สามารถจะระบุได้ ประกอบคำร้องด้วยในการพิจารณาคำร้องให้ศาลพิจารณาคำร้องดังกล่าวโดยเร็ว เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ก่อนดำเนินการตามคำสั่งของศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งสำเนาบันทึกเหตุอันควรเชื่อที่ทำให้ต้องใช้อำนาจ ตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ (๘) มอบให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์นั้นไว้เป็นหลักฐาน แต่ถ้าไม่มีเจ้าของหรือผู้ครอบครองเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ ณ ที่นั้น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งมอบสำเนาบันทึกนั้นให้แก่เจ้าของหรือ
ผู้ครอบครองดังกล่าวในทันทีที่กระทำได้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เป็นหัวหน้าในการดำเนินการตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ
(๘) ส่งสำเนาบันทึกรายละเอียดการดำเนินการและเหตุผลแห่งการดำเนินการให้ศาลที่มี เขตอำนาจภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาลงมือดำเนินการ เพื่อเป็นหลักฐานการทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามมาตรา ๑๘ (๔) ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราช บัญญัตินี้ และต้องไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินกิจการของเจ้าของหรือผู้ครอบครองข้อมูล คอมพิวเตอร์นั้นเกินความจำเป็น การยึดหรืออายัดตามมาตรา ๑๘ (๘) นอกจากจะต้องส่งมอบสำเนาหนังสือแสดงการยึดหรืออายัดมอบให้เจ้าของหรือผู้ ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์นั้นไว้เป็นหลักฐานแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งยึดหรืออายัดไว้เกินสามสิบวันมิได้ ในกรณีจำเป็นที่ต้องยึดหรืออายัดไว้นานกว่านั้น ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อขอขยายเวลายึดหรืออายัดได้ แต่ศาลจะอนุญาตให้ขยายเวลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งรวมกันได้อีกไม่เกินหกสิบ วัน เมื่อหมดความจำเป็นที่จะยึดหรืออายัดหรือครบกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องส่งคืนระบบคอมพิวเตอร์ที่ยึดหรือถอนการอายัดโดยพลัน หนังสือแสดงการยึดหรืออายัดตามวรรคห้าให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๒๐ ในกรณีที่การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการทำให้แพร่หลายซึ่ง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามที่กำหนดไว้ในภาคสองลักษณะ ๑ หรือลักษณะ ๑/๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน พนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาจยื่นคำร้อง พร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอำนาจขอให้มีคำสั่งระงับการทำให้ แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นได้ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามวรรค หนึ่ง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการระงับการทำให้แพร่หลายนั้นเอง หรือสั่งให้ผู้ให้บริการระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นก็ ได้

มาตรา ๒๑ ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่พบว่า ข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดมีชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์รวมอยู่ด้วย พนักงานเจ้าหน้าที่อาจยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อขอให้มีคำสั่งห้าม จำหน่ายหรือเผยแพร่ หรือสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นระงับการใช้ ทำลายหรือแก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นได้ หรือจะกำหนดเงื่อนไขในการใช้ มีไว้ในครอบครอง หรือเผยแพร่ชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์ดังกล่าวก็ได้ชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์ตาม วรรคหนึ่งหมายถึงชุดคำสั่งที่มีผลทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์หรือชุดคำสั่งอื่นเกิดความเสียหาย ถูกทำลาย ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมขัดข้อง หรือปฏิบัติงานไม่ตรงตามคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือโดยประการอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงทั้งนี้ เว้นแต่เป็นชุดคำสั่งที่มุ่งหมายในการป้องกันหรือแก้ไขชุดคำสั่งดังกล่าว ข้างต้น ตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา

มาตรา ๒๒ ห้ามมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่เปิดเผยหรือส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่ได้มาตามมาตรา ๑๘ ให้แก่บุคคลใดความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับการกระทำเพื่อประโยชน์ในการ ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หรือเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีกับพนักงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจ หน้าที่
โดยมิชอบ หรือเป็นการกระทำตามคำสั่งหรือที่ได้รับอนุญาตจากศาลพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ ใดฝ่าฝืนวรรคหนึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๓ พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใดกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นล่วงรู้ข้อมูล คอมพิวเตอร์ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่ได้มาตามมาตรา ๑๘ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๔ ผู้ใดล่วงรู้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตามมาตรา ๑๘ และเปิดเผยข้อมูลนั้นต่อผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๕ ข้อมูล ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตามพระราชบัญญัติ นี้ ให้อ้างและรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญาหรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยานได้ แต่ต้องเป็นชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจมีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือโดยมิชอบประการอื่น

มาตรา ๒๖ ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้ไม่น้อยกว่าเก้าสิบ วันนับแต่วันที่ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ในกรณีจำเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้ผู้ให้บริการผู้ใดเก็บรักษา ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้เกินเก้าสิบวัน แต่ไม่เกินหนึ่งปีเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายและเฉพาะคราวก็ได้ ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จำเป็นเพื่อให้ สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการ นับตั้งแต่เริ่มใช้บริการและต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน นับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง ความในวรรคหนึ่งจะใช้กับผู้ให้บริการประเภทใด อย่างไร และเมื่อใด ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ผู้ให้บริการผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรานี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท

มาตรา ๒๗ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๒๐ หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลตามมาตรา ๒๑ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพัน บาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง

มาตรา ๒๘ การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้และความชำนาญเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ และมีคุณสมบัติตามที่รัฐมนตรีกำหนด

มาตรา ๒๙ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีอำนาจรับคำร้องทุกข์หรือรับคำกล่าวโทษ และมีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนเฉพาะความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ในการจับ ควบคุม ค้น การทำสำนวนสอบสวนและดำเนินคดีผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ บรรดาที่เป็นอำนาจของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประสานงานกับพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบเพื่อดำเนินการ ตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรัฐมนตรีมีอำนาจ ร่วมกันกำหนดระเบียบเกี่ยวกับแนวทางและวิธีปฏิบัติในการดำเนินการตามวรรคสอง

มาตรา ๓๐ ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง บัตรประจำตัวของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี

หมาย เหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากในปัจจุบันระบบคอมพิวเตอร์ได้เป็นส่วนสำคัญ ของการประกอบกิจการ และการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากมีผู้กระทำด้วยประการใด ๆ ให้ระบบคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานตามคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือทำให้การทำงานผิดพลาดไปจากคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือใช้วิธีการใด ๆ เข้าล่วงรู้ข้อมูล แก้ไข หรือทำลายข้อมูลของบุคคลอื่น ในระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ หรือใช้ระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ หรือมีลักษณะอันลามกอนาจาร ย่อมก่อให้เกิดความเสียหาย กระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งความสงบสุขและศีลธรรมอันดีของประชาชน สมควรกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

วันนี้คุณส่งเมล์ดีๆ ให้คนรอบข้างหรือยัง

วันนี้คุณส่งเมล์ดีๆ ให้คนรอบข้างหรือยัง
1. ความเพียร
การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ แต่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันควรทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีควรต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯวันที่27 ตุลาคม 2516
2. ความพอดี
ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้นจะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น ตามต่อกันไปเป็นลำดับผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 18 ธันวาคม 2540
3. ความรู้ตน
เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบและคนที่มีระเบียบดีแล้ว จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่จะสร้างความสำเร็จและความเจริญ ให้แก่ตนเองและส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน
พระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ วันเด็ก ประจำปี 2521
4. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้
คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมา ก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 20 เมษายน 2521
5. อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ
ในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงามสำหรับสุภาพชน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25 มิถุนายน 2496
6. พูดจริง ทำจริง
ผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือและความยกย่องสรรเสริญ จากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจ จัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 10 กรกฎาคม 2540
7. หนังสือเป็นออมสิน
หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้ มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที่ 25 พฤศจิกายน 2514
8. ความซื่อสัตย์
ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง
พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก ปี พุทธศักราช 2531

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การดำเนินคดีแพ่งของกองทุนหมู่บ้าน


การดำเนินคดีแพ่งของกองทุนหมู่บ้าน
โดย ปฏิวัติ ธนากรรัฐ รองอัยการจังหวัด สำนักงานอัยการจังหวัดสระบุรี
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เกิดมีวิวาทะขึ้นมาระหว่างผู้นำฝ่ายค้านกับผู้นำรัฐบาลในเรื่องของนโยบาย "ประชานิยม" ของรัฐบาล
ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีใครจะสามารถให้คำตอบได้ว่า นโยบายในรูปแบบประชานิยมหลายประการของรัฐบาล จะเป็นผลดีหรือผลร้ายกับประเทศชาติและประชาชนกันแน่...
กาลเวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์
หนึ่งในนโยบายประชานิยมของรัฐบาลตั้งแต่ยุคทักษิณ 1 ก็คือ นโยบาย "กองทุนหมู่บ้าน" ที่ให้ชาวบ้านระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นสมาชิกของกองทุนหมู่บ้านกู้ยืมเงินไปใช้จ่าย ภายในขอบวัตถุประสงค์ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมืองแห่งชาติ ว่าด้วยการจัดตั้งและบริหารกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ.2544
โดยคณะกรรมการกองทุนมีอำนาจในการอนุมัติเงินกู้รายหนึ่งไม่เกิน 20,000 บาท และในกรณีที่คณะกรรมการกองทุน เห็นควรอนุมัติเงินกู้รายใดเกินกว่า 20,000 บาท คณะกรรมการกองทุนต้องเรียกประชุมสมาชิก เพื่อให้สมาชิกพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
แต่ทั้งนี้การอนุมัติเงินกู้รายหนึ่งต้องไม่เกินจำนวน 50,000 บาท โดยสมาชิกที่กู้ยืมเงินของกองทุนไป จะต้องชำระคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย ภายในกำหนดหนึ่งปี เมื่อชำระหนี้คืนแล้วสมาชิกของกองทุน จึงจะสามารถกู้เงินของกองทุนหมู่บ้านได้อีก
นโยบายกองทุนหมู่บ้านถือเป็นนโยบายที่ดีของรัฐบาล ที่ตอบสนองความต้องการของชาวบ้านในระดับรากหญ้าได้เป็นอย่างดี
เพราะก่อนที่จะมีนโยบายนี้ออกมา ชาวบ้านในแต่ละท้องที่ที่มีความประสงค์จะประกอบกิจการในครัวเรือนเล็กๆ น้อยๆ เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ก็ได้แต่คิด แต่ทำไม่ได้ เพราะไม่มีเงินทุน
จะไปขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและไม่มีหลักประกัน
จะไปกู้ยืมเงินนอกระบบ ดอกเบี้ยก็โหดจนเกินไปและเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต
นโยบายกองทุนหมู่บ้านของรัฐบาลจึงเป็นทางออกที่ดีของชาวบ้านเหล่านั้น
จึงอาจกล่าวได้ว่า นโยบายกองทุนหมู่บ้านจะเป็นผลดีต่อประเทศชาติและประชาชนเป็นอย่างมาก หากว่าชาวบ้านที่เป็นสมาชิกกองทุนหมู่บ้านได้กู้ยืมเงินของกองทุนหมู่บ้านไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ ที่คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติกำหนดไว้อย่างแท้จริง และชาวบ้านเหล่านั้นมีวินัยในการชำระหนี้คืนพร้อมดอกเบี้ยภายในกำหนดเวลาตามข้อตกลง
วัตถุประสงค์ในการดำเนินการของกองทุนหมู่บ้านตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ.2544 ข้อ 6 มีดังนี้
(1) เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนในหมู่บ้านและชุมชนเมือง สำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้หรือเพิ่มรายได้ การลดรายจ่าย การบรรเทาเหตุฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วน และสำหรับการนำไปสู่การสร้างกองทุนสวัสดิการที่ดีแก่ประชาชนในหมู่บ้านหรือชุมชน
(2) ส่งเสริมและพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนเมืองให้มีขีดความสามารถในการจัดระบบ และบริหารจัดการเงินทุนของตนเอง
(3) เสริมสร้างกระบวนการพึ่งพาตนเองของหมู่บ้านและชุมชนเมือง ในด้านการเรียนรู้การสร้างและพัฒนาความคิดริเริ่ม เพื่อการแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างศักยภาพ และส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียงในหมู่บ้านและชุมชนเมือง
(4) กระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานรากของประเทศ รวมทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต
(5) เสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนในหมู่บ้านหรือชุมชนเมือง
ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นคือวัตถุประสงค์ของกองทุนหมู่บ้านตามหลักทฤษฎีและเป็นหลักการในเชิงอุดมคติ
แต่ทว่าความจริงของสังคมไทยในยุคดิจิตอล การกลับกลายเป็นว่ามีชาวบ้านจำนวนไม่น้อย ซึ่งเป็นสมาชิกของกองทุนหมู่บ้านในแต่ละแห่ง ในประเทศนี้ ได้กู้ยืมเงินของกองทุนหมู่บ้านไปใช้จ่ายผิดวัตถุประสงค์ของกองทุน
อาทิ กู้ยืมเงินไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ซื้อรถจักรยานยนต์ ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือไปใช้จ่ายในสิ่งที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น และไม่ก่อให้เกิดรายได้ติดตามมา มิหนำซ้ำยังมีรายจ่ายติดตามเสียอีก จนทำให้เกิดปัญหากับตัวเองเมื่อถึงเวลาที่จะต้องชำระหนี้คืนให้แก่กองทุน
จนถึงขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่ามีองค์กรใดเข้าไปทำการศึกษาและวิจัยว่า นโยบายกองทุนหมู่บ้านมีผลดีหรือผลเสียต่อประชาชนและประเทศชาติหรือไม่เพียงใด
การบริหารกิจการของกองทุนหมู่บ้านในแต่ละแห่งมีประสิทธิภาพหรือไม่เพียงใด
และสมาชิกกองทุนหมู่บ้านในแต่ละแห่งมีการเบี้ยวหนี้ต่อกองทุนหมู่บ้านกันบ้างหรือไม่เพียงใด
มีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยมีความเข้าใจกันว่า เงินกองทุนหมู่บ้านเป็นเงินหาเสียงของรัฐบาลทักษิณ ถึงเวลาแล้วไม่ต้องชดใช้คืน เดี๋ยวรัฐบาลก็จัดการให้เอง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์
เพราะเงินที่คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติโอนให้แก่กองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศกองทุนละหนึ่งล้านบาท เพื่อให้คณะกรรมการหมู่บ้านในแต่ละแห่งเข้าบริหารจัดการโดยพิจารณาและอนุมัติให้สมาชิกกู้ยืมเงินไปนั้น เป็นเงินจากงบประมาณแผ่นดินที่รัฐบาลจัดสรรให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เงินกองทุนหมู่บ้านจึงเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินที่ถือกันว่า "ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้"
ดังนั้น ผู้ใดเอาเงินของกองทุนหมู่บ้านไป ก็ต้องชดใช้คืนให้แก่แผ่นดินทุกบาททุกสตางค์
ทีนี้มีคำถามติดตามมาว่า หากชาวบ้านที่เป็นสมาชิกกองทุนหมู่บ้านกู้ยืมเงินไปแล้ว ไม่ยอมชำระหนี้คืนภายในกำหนดเวลาตามข้อตกลง กองทุนหมู่บ้านมีอำนาจที่จะฟ้องคดีแพ่งเรียกหนี้นั้นคืนได้หรือไม่เพียงใด
ก่อนที่จะตอบคำถามดังกล่าว ก็ต้องแจ้งให้ประชาชนทั้งหลายทราบก่อนว่า ในช่วงรัฐบาลทักษิณ 1 ได้มีการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ขึ้นมาซึ่งมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ และเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย อันจัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมืองแห่งชาติ (องค์การมหาชน) โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 221 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2544 และมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ.2542
ต่อมาในช่วงต้นรัฐบาลทักษิณ 2 ได้มีการตราพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ.2547 ออกใช้บังคับ โดยมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2547 เป็นต้นมา
ซึ่งตามความในมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้ "กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ" เป็นหน่วยงานของรัฐและมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย
และบทเฉพาะกาล ตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดให้มีการจดทะเบียนกองทุนหมู่บ้าน ต่อนายทะเบียนกองทุนหมู่บ้าน ให้มีฐานะเป็นนิติบุคคลภายในระยะเวลาสามปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับ
อีกทั้งบทเฉพาะกาล ตามมาตรา 31 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ยังได้กำหนดให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ เงินงบประมาณ รายได้ และลูกจ้างของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ(องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกา จัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักงานคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ.2544 ไปเป็นของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ.2547
ดังนั้น คำตอบของคำถามดังกล่าวข้างต้น จึงต้องแยกพิจารณาเป็นสองประเด็น กล่าวคือ
1.ในกรณีที่ชาวบ้านได้กู้ยืมเงินไปจากกองทุนหมู่บ้านซึ่งตนเป็นสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นการกู้ก่อน หรือหลังจากที่พระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ.2547 มีผลใช้บังคับ และเป็นการกู้ยืมเงินในส่วนของเงินทุนหนึ่งล้านบาทที่คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ(กทบ.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้จัดสรรให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศ เพื่อให้คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองในแต่ละแห่งเข้าบริหารจัดการและเบิกจ่ายเงินจากบัญชีเงินกองทุนหมู่บ้าน โดยการพิจารณาอนุมัติให้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านกู้ยืมเงินไปตามระเบียบ หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเป็นผู้กำหนด
ดังนั้น เมื่อสมาชิกของกองทุนหมู่บ้านในแต่ละแห่งผิดนัดชำระหนี้ต่อกองทุนหมู่บ้าน กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ จึงเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายและเป็นผู้ที่ถูกโต้แย้งสิทธิ
กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติจึงมีอำนาจฟ้องสมาชิกที่ผิดนัดชำระหนี้ และผู้ค้ำประกันต่อศาลที่มูลแห่งคดีเกิดขึ้นหรือต่อศาลที่ผู้กู้และหรือผู้ค้ำประกันมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลนั้นได้
ซึ่งขั้นตอนทางปฏิบัติในการดำเนินคดี กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ โดยผู้อำนวยการกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมืองแห่งชาติ ซึ่งมีฐานะเป็นผู้แทนของกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมืองแห่งชาติในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก อาจมอบอำนาจให้ประธานคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน หรือกรรมการกองทุนหมู่บ้านในแต่ละแห่งคนเดียวหรือหลายคน เป็นผู้รับมอบอำนาจในการดำเนินคดีแทนได้
2.ในกรณีที่กองทุนหมู่บ้านในแต่ละแห่งได้จดทะเบียนต่อนายทะเบียนกองทุนหมู่บ้านแล้ว กองทุนหมู่บ้านนั้นก็มีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ.2547
กรณีนี้จึงมีคำถามติดตามมาอีกว่าเมื่อกองทุนหมู่บ้านมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแล้ว กองทุนหมู่บ้านมีอำนาจฟ้องสมาชิกที่ผิดนัดชำระหนี้ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องรับมอบอำนาจจากกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมืองแห่งชาติอีกต่อไปหรือไม่
ในความเห็นของผู้เขียนเองเห็นว่า แม้กองทุนหมู่บ้านใดจะมีฐานะเป็นนิติบุคคลแล้วก็ตาม แต่กองทุนหมู่บ้านนั้นก็มิได้เป็นเจ้าของเงินทุนที่สมาชิกกู้ยืมไป กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ยังคงเป็นเจ้าของเงินทุนอยู่เหมือนเดิม ดังจะเห็นได้จากตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 29 วรรคสอง
ในกรณีที่ผู้อำนวยการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารกิจการของสำนักงานกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมืองแห่งชาติ(สทบ.) ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และนโยบายที่คณะกรรมการกำหนด) เห็นว่ากองทุนหมู่บ้านดำเนินการจัดการกองทุนหมู่บ้าน ในลักษณะที่อาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย แก่กองทุนหมู่บ้าน หรือกองทุนหมู่บ้านไม่ปฏิบัติตามประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งของคณะกรรมการ ผู้อำนวยการของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ มีอำนาจที่จะพิจารณาสั่งระงับการจ่ายเงิน ของกองทุนหมู่บ้าน หรือให้กองทุนหมู่บ้านชดใช้ หรือให้ส่งคืนเงินที่เบิกจ่ายไปแล้วได้
ดังนั้น แม้กองทุนหมู่บ้านมีฐานะเป็นนิติบุคคลแล้ว ก็ยังไม่มีอำนาจฟ้องเรียกหนี้เงินกู้คืนได้เอง เพราะไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่ใช่เป็นผู้ที่ถูกโต้แย้งสิทธิโดยตรง
ขั้นตอนปฏิบัติในการดำเนินคดีแพ่งก็ยังคงต้องให้กองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมืองแห่งชาติโดยผู้อำนวยการมอบอำนาจให้กองทุนหมู่บ้านเป็นผู้ดำเนินคดีแทน
โดยทำเป็นหนังสือมอบอำนาจทั่วไปให้ไว้แก่กองทุนหมู่บ้านในแต่ละแห่ง
ในการดำเนินคดีแพ่งของกองทุนหมู่บ้านต้องมีต้นทุนในการดำเนินการ อันได้แก่ค่าธรรมเนียมศาลและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี หากจ้างทนายความเอกชนเป็นผู้ดำเนินคดี ก็ต้องจ่ายค่าวิชาชีพทนายความอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นจำนวนเท่าใดก็แล้วแต่จะตกลงกัน
มาถึงตอนนี้จึงมีคำถามติดตามมาอีกว่า หากกองทุนหมู่บ้านต้องการที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าวิชาชีพทนายความ กองทุนหมู่บ้านจะขอให้พนักงานอัยการในพื้นที่ที่กองทุนหมู่บ้านตั้งอยู่เป็นผู้ดำเนินคดีแทนได้หรือไม่
คำถามนี้สามารถตอบได้ทันทีว่า พนักงานอัยการมีอำนาจที่จะรับเป็นทนายความดำเนินคดีแพ่ง ให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้ ตามพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ.2548 มาตรา 11(5) เนื่องจากกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเป็นหน่วยงานของรัฐและเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ.2547
และอีกประการหนึ่ง เงินของกองทุนหมู่บ้านที่ชาวบ้านได้กู้ยืมไปนั้นเป็นเงินของแผ่นดินที่รัฐบาลนำไปเป็นแหล่งเงินทุน เพื่อให้ประชาชนในหมู่บ้านและชุมชนเมืองกู้ยืมไปใช้จ่ายเพื่อพัฒนาอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ หรือเพื่อสาธารณประโยชน์ อันเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะให้หมู่บ้านและชุมชนเมืองที่มีอยู่ทั่วประเทศสามารถเสริมสร้างกระบวนการพึ่งพาตนเองได้
อันเป็นการทำให้ประชาชนในหมู่บ้านและชุมชนเมืองเป็นผู้กำหนดอนาคตและจัดการหมู่บ้าน และชุมชนเมืองด้วยคุณค่าและภูมิปัญญาของตนเองในการเรียนรู้และการพัฒนาความคิดริเริ่มเพื่อการแก้ไขปัญหา และการเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมให้แก่ประชาชนในหมู่บ้านและชุมชนเมือง
รวมทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของหมู่บ้านและชุมชนเมืองอันเป็นเศรษฐกิจระดับรากฐานของประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายที่ดีของรัฐบาล
แต่เงินทุนดังกล่าวมิใช่เงินให้เปล่า หรือเงินหาเสียงของรัฐบาลตามความเข้าใจที่ผิดๆ แต่เงินทุนดังกล่าวเป็นเงินของแผ่นดินที่เมื่อกู้ไปแล้วก็ต้องชดใช้คืน
และอยากให้ลองนึกภาพดู ถ้าหากว่าสมาชิกของกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศมีเบี้ยวหนี้กันเป็นจำนวนมาก ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับแผ่นดินมากมายเพียงใด
ดังนั้น พนักงานอัยการในฐานะที่เป็นทนายแผ่นดิน ซึ่งมีภารกิจหลักในการรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ก็คงต้องรับเป็นทนายความดำเนินคดีแพ่ง ให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติอย่างแน่นอน แม้ว่าจำเลยในคดีแพ่งจะเป็นชาวบ้านในระดับรากหญ้าที่ทนายแผ่นดินไม่อยากดำเนินคดีก็ตาม
เพราะถึงที่สุดแล้ว...ผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองย่อมอยู่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด

สุดยอด 8 วิถีแห่งชีวิต

สุดยอด 8 วิถีแห่งชีวิต
 
การรู้จักตนเอง การดำเนินชีวิตให้มีความสุข และประสบความสำเร็จได้อย่างพอดี หรือมีความสมดุลในชีวิตน่าจะเป็นสุดยอดความปรารถนาของทุกคน
ในอดีตการแข่งขันของประเทศหรือค่ายต่างๆ ในโลกแห่งศตวรรษที่ 19 จะเป็นยุคของการล่าอาณานิคมของชาติมหาอำนาจ พอโลกหมุนเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 นึกว่าสิ่งเหล่านี้จะล่มสลายไปหมดแล้ว กลับปรากฏว่า เราท่านได้พบความแปลกใหม่ในสิ่งที่ไม่เคยพบหรือสิ่งที่เพิ่งเริ่มจะมีความชัดเจนว่า การเป็นมหาอำนาจของประเทศใดค่ายใดจำเป็นต้องใช้ทุกๆ วิถีทางของเครื่องมือทางกลยุทธ์ที่จะทำให้คงไว้หรือดำรงอยู่ของชาติมหาอำนาจ
สิ่งที่น่าตกใจหรือไม่แน่ใจว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ คือ การใช้กลยุทธ์ทางการตลาดมาสร้างการครอบงำหรือโฆษณาชวนเชื่อในลัทธิ นิกาย ศาสนา การเมือง และวัฒนธรรมในองศาที่สูงมากขึ้น จากเดิมที่ตีกรอบเฉพาะเพียงผลิตภัณฑ์ สินค้า และบริการเท่านั้น
โลกตะวันออกมีความยิ่งใหญ่ และเป็นบ่อเกิดของอารยธรรมมาก่อนชาติตะวันตก (จะดูจากปี พ.ศ.ก็ได้ครับ ประเทศไทยตอนนี้ปี พ.ศ.2547 ขณะที่ ค.ศ.เพิ่ง 2004) แต่มาถดถอยลงในยุคล่าอาณานิคม แต่กำลังจะกลับขึ้นใหม่โดยมีญี่ปุ่น จีน อินเดีย เกาหลีใต้ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านอารยธรรมด้านเทคโนโลยีชั้นสูงในปัจจุบันนี้
ต้องบอกก่อนว่า หลักการทางด้านความเชื่อพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่แล้วโลกตะวันออกมีมาก่อนโลกตะวันตก แต่ไม่ได้ถูกจัดระบบระเบียบมาเสนอใหม่อย่างหลายๆ เรื่องที่ทราบกันอยู่ ใครก็ตามที่ยังหาตัวตนหรือยังค้นไม่พบว่า ความจริงของชีวิตนี้เป็นอย่างไร และอะไรมีค่ายิ่งกว่าสิ่งที่มนุษย์ปรารถนาในเงินและยศฐาบรรดาศักดิ์ (ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ) เราจะไปเชื่อถือบุคคลเหล่านี้ได้อย่างไร
สิ่งที่เป็นสุดยอด 8 วิถีแห่งชีวิตที่ผู้เขียนจั่วหัวเรื่องไว้เป็นสุดยอดแห่งหนทางอันประเสริฐ 8 ประการที่มีการเรียนและสอนตั้งแต่ผู้เขียนเรียนในชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งในทางพุทธศาสนาจะเรียกว่า อริยมรรคหรือ มรรคมีองค์ 8 แปลว่า ทางมีองค์แปดประการอันประเสริฐ (The Noble Eightfold Path: อ้างจากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรมของท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต), 2541)
แล้ว สุดยอด 8 วิถีแห่งชีวิตนี้มีอะไรบ้าง ผู้เขียนจะอธิบายหยิบมาเสนอในภาษาที่เข้าใจง่ายๆ ดังนี้
1) เห็นชอบ (Right View, Right Understanding) ได้แก่ ความรู้ในอริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรจ และมรรค ซึ่งเราๆ มักจะได้ยินผู้ใหญ่ชอบพูดกันว่า เกิด แก่ เจ็บ และตายนั่นเอง
ถ้าจะเปรียบเทียบง่ายๆ เช่น มีปัญหาหรือความทุกข์ สภาพที่บกพร่องขาดแก่นสาร ไม่พอใจในชาติกำเนิด สิ่งที่ไม่รัก พลาดผิดหวัง ก็หาสาเหตุ (สมุทัย) ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์มีคือ ความอยากนั่นเอง (อยากมี อยากรวย อยากรัก อยากชอบ ฯลฯ) จึงต้องหาทางดับทุกข์ (นิโรธ) โดยไม่ต้องตกอยู่ในภาวะของตัณหาหรือความอยาก ถ้าจำกัดได้ก็เป็นอิสระ สงบ ปลอดโปร่ง หลุดพ้น และสุดท้ายการดับทุกข์ (มรรค) ข้อปฏิบัติให้ถึงการหลุดพ้นหรือความดับทุกข์
2) ดำริชอบ (Right Thought) เป็นความนึกคิดที่ดีงาม ปลอดจากความอยาก ความพยาบาทและการเบียดเบียนคนอื่น ซึ่งก็คือความนึกคิดในการเสียสละ เมตตา ไม่ขัดเคือง หรือมองคนในแง่ร้าย มีความกรุณา ไม่คิดร้ายหรือทำลายบุคคลอื่น
3) เจรจาชอบ (Right Speech) เป็นความประพฤติชอบด้วยวาจา พูดจาดี วลีไพเราะ ไม่กล่าวร้าย เสียดสี ด่าทอผู้ใด
4) กระทำชอบ (Right Action) เป็นความประพฤติชอบทางกายคือ งดเว้นและประพฤติ ตนให้ห่างไกลจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ประพฤติผิดศีลธรรม ไม่ลักขโมยสิ่งของผู้อื่น
5) เลี้ยงชีพชอบ (Right Livelihood) เป็นการดำรงชีวิตโดยการทำมาค้าขาย ประกอบอาชีพอย่างสุจริต เช่น ถ้าคิดจะเป็นเถ้าแก่ก็เริ่มต้นไปศึกษาหาความรู้ เก็บออมสะสมเงินทุน หลังจากนั้นก็วิเคราะห์ความเป็นไปได้ถ้ามีโอกาสสำเร็จจึงค่อยๆ ทำธุรกิจเริ่มต้นแต่น้อยๆ ก่อน ค่อยขยายตัวเติบโตในอนาคต
6) เพียรชอบ (Right Effort) คือ เป็นความเพียรในการที่จะละหรือกำจัดสิ่งที่ไม่ควรพูด ไม่ทำความผิด ทำให้เกิดศีลธรรมความงามและรักษาความดี หรือสิ่งที่ทำดีให้เกิดขึ้นอย่างเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป
7) ระลึกชอบ (Right Mindfulness) การมีสติเป็นที่ตั้งไม่ว่าจะทำสิ่งใด การงานอะไร หรือประกอบอาชีพสุจริตใดจะต้องให้รู้เห็นตามความเป็นจริงที่มันเป็นของมันอยู่ ไม่มีรัก โลภ โกรธ หลง ฟุ้งซ่านหรือขาดสมาธิ
8) ตั้งจิตมั่นชอบ (Right Concentration) มีสภาพของจิตใจที่แน่วแน่โดยรู้ในสิ่งที่เข้าใจถึงความจริงและความเป็นไปของโลก มีสติยั้งคิด ปล่อยวางและรู้จักพอ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากการนำวิถีแห่งความสำเร็จของชีวิตมาใช้ได้อย่างถูกต้อง
ใครที่ตื่นเต้นกับนิสัย 7+1 ประการ ตามโฆษณาในขณะนี้หรือค้นหาพลังจิต หรือเพิ่งรู้ว่าชีวิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร (อาจจะยังไม่ค้นพบความจริงอันประเสริฐนี้ก็ได้)
สุดยอด 8 วิถีแห่งชีวิตที่รอการนำไปปฏิบัติเพื่อให้สมดังคำที่ว่า "พุทธะ" แปลว่า "ผู้ตื่นแล้ว" หรือ "ผู้ตื่นอยู่" ดังนั้นจึงขอให้เราท่านได้มีสติเป็นที่ตั้ง และเดินชีวิตไปตามมรรคาอันประเสริฐ 8 ประการนี้ครับ!!

ดนัย เทียนพุฒ  กรุงเทพธุรกิจ  วันที่  4  ธันวาคม พ.ศ. 2547

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ฟิต"แบตเตอรี่"เดือนละครั้ง ฟื้น"พลัง"ให้โน้ตบุ๊คตัวเก่งของคุณได้

เมื่อโน้ตบุ๊ค (notebook) ตัวเก่ง (หรือตัวเก่า) ของคุณ เริ่มทำงานช้าลง ซึ่งคุณผู้อ่านอาจจะสังเกตได้จากการโหลดหน้าเว็บที่ช้าลง รอวิดีโอตั้งนานกว่าจะเริ่มเล่น ตลอดจนความเชื่องช้าของการทำงานส่วนอื่นๆ ทั่วไปจนคุณรู้สึกได้ น่าเสียดายที่ผู้ใช้โน้ตบุ๊คหลายรายในแต่ละปี เลือกใช้วิธีเปลียนแบตเตอรี่ โดยไม่เคยได้ทำให้แบตเตอรี่ฟิตปั๋งเหมือนวันแรกๆ เลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่ความจริง มันเป็นกิจกรรมที่ควรทำทุกเดือน โดยเฉพาะหากต้องการให้โน้ตบุ๊คทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ดูครับ

 
  • ชาร์จแบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊คจนเต็ม 100%
  • เมื่อ แบตฯเต็มแล้วถอดปลั๊ก จากนั้นใช้งานเครื่องจนแบตเตอรี่เกือบจะหมด จัดเก็บงานเอกสารที่แก้ไข ปิดบราวเซอร์เว็บ และโปรแกรมต่างๆ ให้หมด แล้วปล่อยให้โน้ตบุ๊คชัตดาวน์ไปเอง (Hibernate Mode) แบตฯจะเหลือประมาณ 5% - 10%
  • ทิ้งไว้อย่างนั้นเป็นเวลา 5 - 6 ชั่วโมง หรือหนึ่งคืน ซึ่งแบตฯจะมีการคายประจุไฟฟ้าจนเกือบจะสมบูรณ์ เพื่อการชาร์จแบตฯครั้งต่อไปจะได้เหมือนกับเป็นการชาร์จครั้งแรกๆ
  • จากนั้นเปิดเครื่องแล้วชาร์จแบตฯจนเต็ม 100% แล้วค่อยนำไปใช้
  • ทำขั้นตอนทั้งหมดนี้ เดือนละครั้ง หรือทุกๆ การชาร์จแบตฯ 30 ครั้ง
การ ดูแลแบตเตอรี่ หรือ Calibration เป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะละเลย การฟิตแบตฯด้วยขั้นตอนข้างต้นทุกเดือน มันก็น่าจะทำให้ได้ผลลัพธ์ของประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุดอยู่เสมอ หากคุณทำเป็นปกติ คุณจะสังเกตเห็นว่า แบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊คใช้งานได้นานขึ้น แถมยังช่วยยืดอายุใช้งานแบตฯ ไม่ต้องเปลี่ยนอันใหม่ในระยะเวลาอันสั้นอีกด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติม: แบตเตอรี่ Lithium-ion จะไม่ต้องการให้มีการ"ดิสชาร์จ"จนหมด โดยเฉพาะการใช้งานจนแบตฯเหลือต่ำกว่า 10% ทุกครั้งแล้วค่อยชาร์จ ซึ่งอาจทำให้แบตฯเสื่อมเร็วกว่าเวลาอันควร แต่สำหรับการทำ Calibration ที่แนะนำข้างต้น จะทำแค่ครั้งเดียวต่อเดือน (หรือทุกๆ 30 ครั้งของการชาร์จแบตฯ) สำหรับการใชั้งานทั่วไป เมื่อแบตเตอรี่เหลือไฟประมาณ 30% - 40% ก็ควรชาร์จได้แล้ว นอกจากนี้ ความร้อนของโน้ตบุ๊ค หรือแหล่งความร้อนภายนอก อย่างเช่น ทิ้งโน้ตบุ๊คไว้กลางแดด ก็ส่งผลต่อแบตฯเสื่อมเร็วขึ้นได้อีกด้วย หากคุณผู้อ่านไม่ต้องการทำ Calibration ให้หลีกเลี่ยงการเสียบปลั๊กโน้ตบุ๊คนานเกินกว่า 8 ชั่วโมง เนื่องจากคุณสมบัติของแบตฯ Lithium-ion จะใช้ได้นาน เมื่อมีการชาร์จ และดิสชาร์จตามความเหมาะสม หากต้องทิ้งโน้ตบุ๊คไว้โดยไม่ใช้นานเกินกว่า 1 สัปดาห์ ควรมั่นใจว่า มีแบตเตอรี่เหลืออยู่อย่างน้อย 40%

ขอบคุณ : http://www.arip.co.th/tips.php?id=413603

7 ทิปส์เด็ดๆ ของ Windows 7

วันนี้ผมได้นำ 7 ทิปส์เด็ดๆ ของ Windows 7 มาเรียกน้ำย่อยกันก่อน ไปดูกันเลย
1. สลับเปลี่ยนไปยังหน้าต่างที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย
ใน กรณีที่ผู้ใช้งานเปิดไฟล์จำนวนหลายๆ ไฟล์จากโปรแกรมเดียวกัน อย่างเช่น โปรแกรมไมโครซอฟท์ เวิร์ด วินโดวส์ 7 จะช่วยให้คุณสับเปลี่ยนระหว่างหน้าต่างได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น เพียงแค่กดปุ่ม Ctrl ในขณะคลิกที่ไอคอนบนทาสก์บาร์ หน้าต่างก็จะเปลี่ยนเป็นหน้าต่างถัดไป โดยคุณสามารถเลือกเปิดหน้าต่างที่คุณต้องการได้
2. กำหนดขนาดของหน้าต่างตามความต้องการของผู้ใช้งาน
วินโดวส์ 7 ช่วยให้การจัดการเอกสารและโปรแกรมต่างๆทำได้ง่ายขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถกำหนดขนาดของหน้าต่างได้โดยการเลือกคลิกเมาส์ หรือ ใช้แป้นพิมพ์  หากต้องการขยายหน้าต่างให้มีขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของหน้าจอ ผู้ใช้งานเพียงแค่ลากหน้าต่างไปชนกับหน้าจอทางด้านซ้าย หรือ ขวา และหน้าต่างนั้นก็จะมีขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของหน้าจอทันที ในกรณีที่ต้องการขยายขนาดของหน้าต่างนั้นให้เต็มหน้าจอ ผู้ใช้งานเพียงแค่ลากหน้าต่างไปด้านบนของจอเพื่อขยายหน้าต่างให้เต็มจอ หรือ ดับเบิ้ล คลิก ที่มุมด้านบน หรือด้านล่างของหน้าต่างเพื่อปรับเปลี่ยนขนาดของหน้าต่าง ในขณะที่หน้าต่างนั้นยังมีความกว้างเท่าเดิม
ผู้ใช้งานยังสามารถกำหนดขนาดของหน้าต่างได้โดยใช้แป้นพิมพ์ ดังต่อไปนี้
windows 7 + ลูกศรซ้าย และ windows 7 + ลูกศรขวา เพื่อขยายหน้าต่างให้มีขนาดครึ่งหนึ่งของหน้าจอ
windows 7 + ลูกศรบน และ windows 7 + ลูกศรล่าง เพื่อขยายและลดขนาดของหน้าต่าง
windows 7 + Shift +ลูกศรบน และ windows 7 + Shift + ลูกศรล่าง เพื่อขยายหน้าจอ หรือ ปรับหน้าจอให้มีขนาดเท่าเดิม
3. เชื่อมต่อกับเครื่องโปรเจคเตอร์ได้อย่างง่ายๆ
เพียง แค่เชื่อมต่อกับเครื่องโปรเจคเตอร์ ผู้ใช้งานก็จะสามารถแสดงข้อมูลที่ต้องการบนโปรเจคเตอร์ได้อย่างง่ายดายด้วย ปลายนิ้วเพียงแค่มีไดรเวอร์ของวินโดวส์ 7 อย่าง displayswitch.exe เมื่อผู้ใช้งานกดปุ่ม windows 7 + P หน้าต่างในการควบคุมโปรเจคเตอร์ก็จะปรากฏขึ้นมาโดยทันที
windows 7
เมื่อเลื่อนลูกศร หรือ กดปุ่ม windows 7 + P ผู้ใช้งานจะสามารถเลือกรูปแบบการทำงานที่ต้องการได้ อาทิ clone, extend หรือ external only
4. จัดการกับการแสดงผลบนจอมอนิเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ
วินโดวส์ 7 ช่วยให้การทำงานกับจอมอนิเตอร์หลายมอนิเตอร์มีประสิทธิภาพและสะดวกยิ่งขึ้น ในกรณีที่ผู้ใช้งานจำเป็นที่จะต้องทำงานกับจอมอนิเตอร์มากกว่าหนึ่งจอ ผู้ใช้งานสามารถใช้คีย์บอร์ด windows 7 + Shift + ลูกศรซ้าย และ windows 7 + Shift + ลูกศรขวา ในการสลับการแสดงผลระหว่างจอมอนิเตอร์ได้
5. แอบดูเดสก์ท็อปได้ด้วย Aero Peek
เครื่อง มือที่มีประโยชน์มากในวินโดวส์ 7 ที่คนทั่วไปอาจจะยังไม่รู้จักกันนักก็คือ Windows® Aero® Feature ที่เรียกว่า Aero Peek โดยผู้ใช้งานเพียงแค่คลิกที่สี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมล่างขวามือของทาสก์บาร์ จากนั้นหน้าเดสก์ท็อปก็จะปรากฏขึ้น นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวได้โดยใช้ปุ่ม windows 7 + Space
windows 7


6. หมดปัญหากับเรื่องยุ่งยากด้วย Aero shake วินโดวส์ 7 ช่วยขจัดความวุ่นวายของการเปิดหน้าต่างหลายๆ หน้าต่างภายในเวลาเดียวกันนอกเหนือไปจากหน้าต่างที่คุณกำลังทำงานอยู่ได้ เพียงแค่จับที่ด้านบนของหน้าต่างที่คุณต้องการทำงานแล้วเขย่าไปมา หรือกดปุ่ม windows 7 + Home ผู้ใช้งานก็จะสามารถลดขนาดของหน้าต่างอื่นๆที่ไม่ได้ใช้งานลงได้ทันที หากผู้ใช้งานต้องการให้หน้าต่างกลับมามีขนาดเท่าเดิมก็สามารถทำได้เพียง เขย่าหน้าต่างที่ทำงานอยู่ หรือแค่กดปุ่ม windows 7 + Home อีกครั้ง
7. ใช้ Help Desk จัดการปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ
การ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์อาจเป็นเรื่องยุ่งยากทั้งกับผู้ใช้งานและ Help Desk นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ วินโดวส์ 7 หาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย Problem Steps Recorder เครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานบันทึกปัญหาที่พวกเขาพบในแต่ละขั้นตอนได้ อย่างง่ายดาย เพียงแค่คลิกที่เมนู record จากนั้นจึงเพิ่มข้อคิดเห็นที่ต้องการลงไป ไฟล์ HTML ดังกล่าวก็จะเปลี่ยนเป็นไฟล์ .ZIP ในทันที ซึ่งจะช่วยให้การส่งต่อไปยัง Help Desk ทำได้ง่ายขึ้น ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปที่เมนูดังกล่าวได้จาก Control Panel  ภายใต้คำสั่ง ‘Record steps to reproduce a problem’ หรือ เปิดโปรแกรม psr.exe จาก Explorer
ข้อมูลจาก : Microsoft Media Newsletter