วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโล





"มีคนหนึ่งพูด เป็นด๊อกเตอร์ เขาพูดว่า เศรษฐกิจพอเพียงนี่ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร แหมคันปากอยากจะพูด ที่จริงที่คันปากจะพูดเพราะว่าตอบแล้ว อย่างที่เห็นในทีวีรายการใหญ่ เขาพูดถามโน่นถามนี่เราดูแล้วรำคาญ เพราะว่าตอบแล้ว ตอบเสร็จแล้วก็ถามใหม่ เมื่อตอบอีกก็บอกว่าทำไมพูด คราวนี้เราฟังเขา แล้วเขาถามว่าอังกฤษภาษาจะแปลเศรษฐกิจพอเพียงว่าอย่างไร ก็อยากตอบว่า มีแล้วในหนังสือ ในหนังสือไม่ใช่หนังสือตำราเศรษฐกิจในหนังสือพระราชดำรัส ที่อุตส่าห์พิมพ์และนำมาปรับปรุงดูให้ฟังได้ และแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพราะว่าคนที่ฟังภาษาไทย บางทีไม่เข้าใจภาษาไทย ก็ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ และเน้นว่าเศรษฐกิจพอเพียงแปลว่า Sufficiency Economy โดยเขียนเป็นตัวหนาในหนังสือ เสร็จแล้วเข้าก็มาบอกว่า คำว่า Sufficiency Economy ไม่มีในตำราเศรษฐกิจ จะมีได้อย่างไร เพราะว่าเป็นทฤษฎีใหม่ เป็นตำราใหม่ ถ้ามีอยู่ในตำราก็หมายความว่าเราก๊อปปี้มา เราลอกเขามา เราไม่ได้ลอกไม่อยู่ในตำราเศรษฐกิจ เป็นเกียรติที่เขาพูด อย่างที่เขาพูดอย่างนี้ว่า Sufficiency Economy นั้นไม่มีในตำรา การที่พูดว่าไม่มีในตำรานี่ ที่ว่าเป็นเกียรตินั้นก็หมายความว่า เรามีความคิดใหม่ โดยที่ท่านผู้เชี่ยวชาญสนใจ ก็หมายความว่า เราก็สามารถที่จะคิดอะไรได้ จะถูกจะผิดก็ช่าง แต่ว่าเขาสนใจ เขาก็สามารถที่จะไปปรับปรุงหรือไปใช้หลักการเพื่อที่จะให้เศรษฐกิจของประเทศ และของโลกพัฒนาดีขึ้น"

พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
23 ธันวาคม 2542



ผมเข้าใจว่าผู้อ่านหลายท่าน คงจะอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับผม ที่ได้มีโอกาสไปศึกษาต่างประเทศ ในห้วงเวลาที่ประเทศไทย เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อปี 2540 ในปีนั้น ผมได้เห็นความทุกข์ยากของคนไทย ที่ได้ติดหลุมกับดักมหาโหด ของประเทศลัทธิทุนนิยมต่างๆ ที่เป็นผู้เขียนกติกา และทฤษฎีต่างๆ หลอก และล้างสมอง ให้ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายเดินตาม ทั้งๆ ที่ลักษณะนิสัย เศรษฐกิจพื้นฐาน สภาพสังคม วิธีคิด ของประเทศกำลังพัฒนา กับประเทศทุนนิยมเหล่านั้น แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ของเราทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นที่กระทรวงการคลัง หรือธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ได้ไปร่ำเรียนที่ประเทศเหล่านั้น ก็แน่นอนครับว่าจะนั่งคิดนอนคิดยังไง ก็ต้องคิดตามหลุมกับดักของพวกนั้นเป็นอย่างดี เขาเข้ามาบอกให้เปิดประเทศด้านเศรษฐกิจ กู้เงินมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เน้นการผลิตเพื่อการส่งออก ฯลฯ เชื่อไหมครับว่าถ้าไปดูตัวเลขการเป็นหนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ธนาคารโลก หรือ IMF ประเทศกำลังพัฒนามีแต่จนลงๆ และจนลงเรื่อยมา ยิ่งทำตามกติกาการค้าเสรีที่ฝรั่งเป็นคนเขียนก็ยิ่งแย่หนักไปอีก สงสัยไหมครับทำไมเวลามีปัญหาเศรษฐกิจ คนจน คนรากหญ้า เด็กนักเรียนจะโดนผลกระทบก่อนทุกครั้ง ว่างๆ จะเล่าให้ฟังครับ


จริงๆ แล้ว ผมได้ศึกษาทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ต่างๆ มานานหลายปีแล้วครับ จนปัจจุบันผมกล้าฟันธงว่า “ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง” ของในหลวง นั้นคือทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกครับ ซึ่งหากเรายึดแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว ปัญหาวิกฤติต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้นครับ


แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า ยังมีคนไทยอีกเป็นจำนวนมากยังไม่เข้าใจ และนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเรา หลายคนยังนึกว่าทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง คือการไม่ทำอุตสาหกรรม และถอยกลับไปทำการเกษตรทั้งประเทศ บางคนก็นึกว่าให้ทุกคนปลูกข้าวเลี้ยงสัตว์กินเอง และทำของใช้เองในครอบครัว บางคนก็นึกไปโน่น ว่าให้ประหยัดไว้เยอะๆ ไม่ใช้เงิน หรือไม่ก็ปิดประเทศ ฯลฯ นักเศรษฐศาสตร์ไทยแต่ทาสความคิดฝรั่งบางคน ก็ออกมาบอกว่า แนวคิดไม่สอดคล้องกับหลักเศรษฐศาสตร์ และการค้าของโลก ทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร


กฎเบื้องต้นของเศรษฐศาสตร์ก็คือ เราเชื่อว่าทรัพยากรที่มีอยู่ในโลกมีอยู่จำกัด แต่มนุษย์เรามีความต้องการที่ไม่จำกัด ดังนั้นเศรษฐศาสตร์ ก็คือศาสตร์ ที่ว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้คุ้มค่า และสอดคล้องตามความต้องการของมนุษย์ให้มากที่สุด แต่ปัจจุบัน โลกมันวุ่นวาย เพราะมีบางกลุ่มบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา มีประชากรแค่ 200 ล้านคน แต่ใช้ทรัพยากรของโลก ไปเกิน 95% เป็นต้น ส่วนประเทศไทยนั้น เดินไปติดกับของทุนนิยมเข้าเต็มเปา เลยต้องมานั่งแก้ปัญหาไปวันๆ แบบนี้ ว่าทำไมเงินไม่พอใช้สักที

กลับมาที่แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่าคืออะไรครับ อธิบายสั้นๆ ก็คือการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างพอดี ไม่น้อย หรือไม่มากเกินไป ไม่เกินตัว ทรัพยากรที่พูดถึงคืออะไรครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ และใกล้ตัวเราที่สุดก็คือเงินไงครับ คือให้ใช้เงินให้เป็น และรู้จักออม ถ้านำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง มาประยุกต์ใช้กับการใช้เงินของเราเพื่อช่วยเหลือชาติแบบง่ายๆ ก็จะทำได้ดังนี้ครับ ....


  • รู้จักใช้เงินในการเลือกรับประทานอาหารในราคาที่ควรจะเป็น เช่น ไก่ทอด KFC กับไก่ทอดของไทยตามร้านทั่วๆ ไป จริงอยู่ครับว่ามันเป็นไก่ทอดเหมือนกัน ขนาดก็เท่ากัน แต่ราคามันห่างกันลิบ ทานไก่ KFC แล้วทำให้เงินมันเหลือน้อยกว่าทานไก่ทอดธรรมดา ทำให้เหลือเงินไปซื้อของใช้จำเป็นอื่นๆ น้อยลงไปอีก เหลือเงินออมน้อยลง เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาชีวิตก็ลำบาก และเป็นทุกข์ ในและมีผลกระทบในภาพรวมคือถ้าทุกคนกินแต่ไก่ KFC เงินออมของทั้งระบบก็จะน้อยลง ทำให้การขยายการลงทุนในประเทศก็จะทำได้ยาก เนื่องจากเงินออมในธนาคารมีน้อยไม่พอให้ระดมทุน ต้องไปกู้ยืมเงินจากต่างประเทศเข้ามาอีก ประเทศก็ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เงินบาทก็จะอ่อนค่าลงตามทฤษฎี อีกอย่างครับกินไก่ KFC 100 บาท เงินเข้าคนไทย 30 บาท เข้ากระเป๋าฝรั่งไป 70 บาท ซึ่งเป็นค่าลิขสิทธิ์ เงินไหลออกนอกประเทศอีก
  • เลือกใช้ของที่ต้องการในราคาพอเหมาะ เช่น รถยนต์ เป็นตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่สุดครับ ระหว่างรถเบนซ์กับรถญี่ปุ่นที่ผลิตในประเทศไทยซึ่งเป็นรถยนต์เหมือนกัน วิ่งได้เหมือนกัน แต่คนส่วนใหญ่อยากจะเลือกรถเบนซ์เพราะแสดงสถานะทางสังคมว่าเรามีเงิน แต่หลายคนคงจะทราบว่ารถยนต์เป็นสินทรัพย์ที่เสื่อมมูลค่าลงทุกวันตามสัดส่วนเวลา และมีอายุการใช้งาน ดังนั้น ณ วันที่เราขายรถยนต์ ราคาของรถยนต์ราคาแพงก็จะมีมูลค่าลดลงมากกว่า ทั้งนี้ยังไม่รวมค่าบำรุงรักษาและค่าซ่อม ที่หลายคนใช้รถแพงๆ ตระกูลยุโรปก็โดนศูนย์บริการปล้นแบบไม่ปราณี เพราะช่างซ่อมชาวบ้านทั่วไปก็ซ่อมไม่ได้ ต้องเข้าศูนย์เฉพาะเพื่อเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ผลิตในต่างประเทศเท่านั้น หลายคนยังคงไม่ทราบว่าประชาชนในประเทศที่เราเห่อรถแพงๆ ของเขา เขากลับไม่เห็นความสำคัญของการแสดงสถานะทางสังคมด้วยรถยนต์เท่ากับบ้านเรา แต่เลือกใช้รถยนต์ที่คุ้มค่าในราคาเหมาะสม ผลกระทบอื่นๆ ก็จะคล้ายๆ กับข้อ 1 ท่านก็ลองคิดนะครับว่าซื้อรถเบนซ์มาขับกับซื้อรถผลิตในประเทศแล้ว โดยภาพรวมคนไทยจะได้ประโยชน์จากเงินที่ท่านจ่ายมากน้อยต่างกันเพียงใด สินค้าหลายอย่างมันแพงเกินราคาก็เพราะเราจ่ายค่าทรัพย์สินทางปัญญา หรือค่าลิขสิทธิ์มากกว่าต้นทุนของสินค้าเองซะอีก

  • บริโภคสินค้าด้วยเงินออม เราจะเห็นว่าคนในบ้านเรากลับไปบริโภคสินค้าด้วยเงินกู้ เช่น กู้เงินไปซื้อโทรทัศน์ มือถือ กระเป๋าหลุยส์ ฯลฯ แล้วสิ้นเดือนก็ต้องมาเป็นทุกข์ผ่อนชำระกันศีรษะโตเป็นแถบ ลักษณะนิสัยแบบนี้เรียกว่าใช้เงินกันเกินตัว ซึ่งกำลังเกิดในประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นมะเร็งร้าย ที่กำลังจะลามทำให้เศรษฐกิจอเมริกา ระเบิดในอีกไม่ช้านี้ หลักการคือเราต้องเข้าใจก่อนว่า การบริโภคกับการลงทุนนั้นต่างกัน เช่น ถ้าท่านซื้อมือถือมา เพื่อมาใช้ในวิชาชีพแล้ว มันจะทำเงินกลับมาให้ท่าน นั่นเรียกว่าเป็นการลงทุน แต่ถ้าท่านไม่มีกิจอันใดที่จะใช้ แต่ซื้อมาเพราะว่าคนอื่นเขาก็มีกัน อันนั้นก็เรียกว่าการบริโภค อะไรที่เป็นการลงทุน มันย่อมมีผลตอบแทนคืนมา (แม้ว่าจะสินค้านั้นจะมีมูลค่าเสื่อมถอยทุกวัน) แต่การบริโภคนั้น สินค้าที่ท่านซื้อมาบริโภคมันก็จะมีค่าเสื่อมถอยลงทุกวัน โดยไม่มีผลตอบแทนคืนมา ถ้าท่านบริโภคสินค้าด้วยเงินกู้กันเยอะๆ ทั้งประเทศมันก็จะมีผลกระทบ ทำให้ท่านไม่สามารถจะมีเงินไปลงทุนได้ เพราะเงินกู้ของท่าน ที่สามารถจะกู้ไปลงทุน ได้ถูกจัดลงในโควต้าของเงิน ที่ท่านกู้ออกมาบริโภคไปแล้ว ท้ายสุด ก็ต้องไปกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ เข้ามาอีก ประเทศก็ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เงินบาทก็จะอ่อนค่าลงตามทฤษฎี
  • ใช้เงินในสิ่งที่มีประโยชน์เป็นรูปธรรมเท่านั้น ตัวอย่างที่ผมจะยกตัวอย่างได้ง่ายๆ คือ การส่ง SMS เข้ารายการโทรทัศน์ต่างๆ เท่าที่ผมทราบ มีแต่ประเทศกำลังพัฒนา และประชาชนไม่มีความคิดเท่านั้น ที่จะนิยมส่ง SMS เข้ารายการโทรทัศน์ มากมายแบบประเทศไทย อย่างผมนั่งดูโทรทัศน์ ผมก็สงสัยว่าคนที่ส่ง SMS เข้าไปจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง สรุปก็คือได้แต่ความสะใจ ไม่มีประโยชน์ในทางรูปธรรมอะไรเลย บางคนส่ง SMS เดือนนึงหลายหมื่นบาท แต่ไม่รู้ว่าส่งไปทำไม ซึ่งเป็นการใช้เงินที่ควรจะออมอย่างไม่ถูกเรื่องเท่าไหร่นัก ซึ่งจริงๆ ผมคิดว่า คณะกรรมการ กสช. ควรจะเข้ามากำกับดูแลในส่วนนี้อย่างจริงจัง เพื่อผลประโยชน์ของคนในชาติ

  • ส่งเสริมการซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศ ซึ่งคนไทยเราอาจจะมีจิตสำนึก ในเรื่องนี้ค่อนข้างน้อยไปบ้าง หากท่านสังเกตุว่าทำไมหลายๆ ชาติที่เจริญ มักจะเป็นชาติที่มีความเป็นชาตินิยมสูงมาก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน จีน ทั้งนี้ เนื่องมาจากสินค้าแบบเดียวกัน คนในชาตินั้นจะเลือกซื้อสินค้า ที่ผลิตในประเทศของเขาก่อน ทำให้สินค้าที่ผลิตในประเทศ ได้มีโอกาสทดลองตลาด ปรับปรุงสินค้า และสะสมเงินทุน ไปทำเรื่อง R&D ต่อยอดไปได้ แต่ถ้าคนไทย เรานิยมซื้อของต่างชาติ มากกว่าของที่ผลิตในประเทศ เงินก็จะไหลออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก เหมือนน้ำที่แห้งเหือดไปจากสระน้ำ แทนที่คนไทยจะได้ประโยชน์จาก Multiplier Effect หรือตัวคูณของการใช้เงินต่อไปเป็นทอดๆ ในระบบเศรษฐกิจของเราเอง แต่เงินกลับไหลออกนอกประเทศ คนไทยก็ได้แต่ค่าแรงในการขายของเท่านั้น สินค้ายี่ห้อดังๆ ของโลก เช่น LG, Samsung, Haier, TCL, Huawei ก็โตมาจากตลาดในประเทศก่อนทั้งนั้น ไม่มีใครกระโดดออกไปนอกประเทศแล้วโตเลย อย่างของไทยสมัยก่อนก็มีโทรทัศน์ยี่ห้อธานินทร์ แต่ตอนนี้ก็หายไปจากตลาดแล้ว เพราะคนไทยไม่สนับสนุน
  • งดอบายมุข อันนี้ง่ายที่สุดครับ แต่เป็นปัญหาที่ฝังลงรากลึกสุดของสังคมไทย เพราะหวยทั้งบนดิน ใต้ดิน มันโผล่ออกมยุบยับมาก ขนาดจะดูฟุตบอลโลก หนังสือพิมพ์บ้านเราก็ยังมีราคาต่อรองให้อีก คือไม่ว่าจะเป็นอบายมุขประเภทไหน ก็ทำให้เราไม่มีเงินออมทั้งนั้นครับ พอไม่มีเงินออม ท้ายสุดก็ต้องพึ่งเงินกู้มาบริโภคกันอีก

  • รู้จักลงทุนในสิ่งที่มีประโยชน์ และได้ความรู้ เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ห้ามให้เราไม่ใช้เงินนะครับ เพียงแต่ว่าใช้เงินให้เกิดประโยชน์กับตัวเรา เช่น การลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม การลงทุนเพื่อให้เกิดความรู้เพิ่มขึ้น จากการซื้อหนังสือที่มีประโยชน์มาอ่าน ไปฟังสัมมนา ไปทัศนาจร ไปดูงาน ฯลฯ กล่าวโดยสรุปนะครับ การนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา จะทำให้เราสามารถใช้เงินอย่างคุ้มค่า มีเงินออม เหลือเก็บไว้ใช้ในการบริโภคสิ่งที่จำเป็น ไม่มีภาระหนี้สินที่ไม่จำเป็น เงินออมทั้งระบบ ก็จะเพียงพอต่อการระดมทุน เพื่อการลงทุนในประเทศ ไม่ต้องพึ่งพิงเงินตราต่างประเทศ ที่เข้าเร็วออกเร็ว แบบที่เราเรียกว่า Hot Money ประเทศก็จะมีเงิน ไม่ต้องขาดดุลบัญชีเดินสะพัดกันบักโกรกแบบสมัยฟองสบู่ ค่าเงินบาทก็จะไม่อ่อน เศรษฐกิจในประเทศก็จะแข็งแกร่ง ไม่ต้องมาปวดหัวเถียงกันเรื่องจะขึ้นหรือไม่ขึ้นดอกเบี้ย เพราะอเมริกาจะขึ้นดอกเบี้ย และกลัวเงินจะเฟ้อ

    คือยังงี้นะครับ คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั้นหมายถึงความพอดีด้วยนะครับ ไม่ได้ห้ามกู้หนี้มาลงทุนแต่อย่างใดนะครับ ตราบใดที่กู้หนี้ยืมสินแล้วมาลงทุน แต่การลงทุนนั้นยังสามารถให้ผลตอบแทนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะชำระหนี้ได้ก็ถือว่าพอเพียงนะครับ

    แต่ถ้าสมมติว่าผมไปกู้ธนาคารมาทำโปรเจ็กแบบสมัยก่อนประเทศไทยเกิดวิกฤติปี 2540 แล้วมีการจ่ายเงินปากถุงให้กับทีมวิเคราะห์ของธนาคาร (สมมตินะครับสมมติ) เพื่อให้ตีมูลค่าโปรเจ็กมากๆ แล้วให้ปล่อยกู้เงินมากๆ เกินกว่าที่ผลตอบแทนการลงทุนจะได้ ท้ายสุดถ้าในความเป็นจริงมันไม่เวิร์ค โปรเจ็กก็ล่ม ธนาคารก็มี NPL คนฝากเงินก็รับเคราะห์ รัฐบาลต้องเข้ามากู้เรือล่ม ก็เดือดร้อนเงินภาษีของเราอีก

    ซึ่งจากข้างต้นคำว่าพอเพียงกับความต้องการประสบความสำเร็จมันคงเป็นคนละเรื่องกันครับ สมมติว่าผมต้องการประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ และมีความทะเยอทะยาน ผมก็ต้องดำเนินการแบบพอเพียง คือไม่ใช้วิธีแบบทำธุรกิจเกินตัว แล้วเราไม่สามารถใช้หนี้ได้ ซึ่งโดยสรุปเศรษฐกิจแบบพอเพียงนั้นจะหมายถึงวิธีการ และแนวคิดอันที่จะได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ว่ามันเกินตัว และถูกต้องตามครรลองหรือไม่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Incentive ที่จะลงทุนแต่อย่างใด จะลงทุนมากน้อยก็อยู่ที่วิธีการว่าเป็นการดำเนินการที่เกินตัวหรือไม่ครับ

    ดร. อ๊อฟ ก็ถามผมเมื่อสักครู่ว่าถ้าใครยึดหลักพอเพียงเขาก็เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวอย่างเดียวไม่ดีกว่าเหรอ ไม่ต้องลงทุนเปิดบริษัทใหญ่โต คำตอบก็จะอยู่ในข้อความข้างต้นครับ ตราบใดที่ ดร. อ๊อฟ พอใจกับร้านก๋วยเตี๋ยว แล้วมันพอเพียงที่จะเลี้ยงครอบครัว และน้อง Happy ได้ ก็เข้าข่ายเศรษฐกิจพอเพียงครับ แต่ถ้า ดร. อ๊อฟ ไปเปิดบริษัท ทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจ หรือมั่นใจว่าจะไปรอดไหม ซึ่งแบบนี้ก็เข้าข่ายเกินตัวครับ



    ประเทศไทยเราโชคดีจริงๆ ครับที่มีพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงอัจฉริยะภาพ พระราชทานแนวคิด การใช้ชีวิต ที่เป็นทางสายกลางให้กับพวกเราทุกคน และเป็นกุญแจ ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ทุกยุคทุกสมัย ซึ่งรัฐบาล ควรจะขยายแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงนี้ เข้าสู่หลักคิดของคนในชาติ ให้มากที่สุด ยิ่งถ้าทุกคนในโลกยึดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ก็จะไม่มีการเบียดเบียนทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด เอารัดเอาเปรียบ คนหรือประเทศที่ด้อยกว่าแบบทุกวันนี้



    ขอบคุณ ครับ....เจ้าของความรู็
    ดร. วรัญญู สุจิวรพันธ์พงศ์
    CEO บริษัท อินฟินิตี้ ไอที คอร์ปอเรชั่น
    อาจารย์พิเศษ MBA จุฬาฯ และ วิทยาลัยนวัตกรรมการศึกษา ม.ธ.

    http://knowledge.eduzones.com/knowledge-2-10-33051.html 
  • โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาราชินี


    เรื่อง  การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน
    เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาราชินี”
    คณะรัฐมนตรีรับทราบและเห็นชอบการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาราชินี” ตามที่รองนายกรัฐมนตรี  (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ เสนอและมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์กรต่าง ๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุน เผยแพร่ รณรงค์ประชาสัมพันธ์การดำเนินงาน โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาราชินี
    http://admax.effectivemeasure.net/emnb_1_370232.gif
    โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาราชินี เพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555 มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อระดมประชาชนสาขาอาชีพต่าง ๆ ทั่วประเทศ ร่วมกันแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี ด้วยการขับเคลื่อนกิจกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ “กองทุนแม่ของแผ่นดิน”
    วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่
    1. เพื่อให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพ และทุกหมู่เหล่าร่วมกันแสดงความจงรักภักดี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา80 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555 โดยการขับเคลื่อนกิจกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ “กองทุนแม่ของแผ่นดิน”
    2. เพื่อใช้แนวทางกองทุนแม่ของแผ่นดิน ลดสถานการณ์ปัญหายาเสพติด สร้างความเข้มแข็งพลังแผ่นดิน สร้างความยั่งยืนให้กับหมู่บ้าน/ชุมชนทั่วประเทศ
    เป้าหมาย
    1. หมู่บ้าน/ชุมชนที่เป็นกองทุนแม่ของแผ่นดินอยู่เดิมจำนวน 12,189 แห่ง สามารถลดปัญหายาเสพติดได้อย่างเห็นผลชัดเจน
    2. หมู่บ้าน/ชุมชนที่จะเข้ารับพระราชทานเงินกองทุนแม่ของแผ่นดิน ในปี 2555 จังหวัดละ 20-50 หมู่บ้าน/ชุมชน ขึ้นอยู่กับความพร้อมการดำเนินงานกองทุนแม่ของแผ่นดินของแต่ละจังหวัด โดยเน้นกระบวนการ ขั้นตอน และการดำเนินงานกองทุนแม่ของแผ่นดินของแต่ละจังหวัด โดยเน้น กระบวนการ ขั้นตอน และการดำเนินงานกองทุนแม่ของแผ่นดินเชิงคุณภาพเป็นหลัก
    3. สร้างหมู่บ้าน/ชุมชนศูนย์เรียนรู้กองทุนแม่ของแผ่นดินในทุกอำเภอ/เขต อย่างน้อยอำเภอ/เขตละ 1 แห่ง รวม 928 แห่ง และพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชนศูนย์เรียนรู้กองทุนแม่ของแผ่นดินดังกล่าว โดยส่วนหนึ่งให้บูรณาการกับการพัฒนาตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นต้นแบบระดับจังหวัด ๆ ละ 1 แห่ง และพื้นที่ชายแดนอีก 3 แห่ง รวม 80 แห่ง เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 80 พรรษา มหาราชินี
    แนวทางและกลยุทธการดำเนินการ ประกอบด้วย 6 แนวทางหลัก ได้แก่
    1. แนวทางที่ 1 การสร้างกระแสความตื่นตัวและประชาสัมพันธ์ ผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ สื่ออิเล็คทรอนิคส์ เป็นต้น เพื่อรณรงค์กระตุ้นจิตสำนึก สร้างกระแสการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และประชาชน ให้เกิดความตื่นตัวกระทำความดีต่อต้านยาเสพติด และร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี สืบสานปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และปณิธานกองทุนแม่ของแผ่นดิน
    2. แนวทางที่ 2 การสร้างความมั่นคงให้กับหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน ที่ได้รับแต่เดิม ให้สามารถลดและแก้ไขปัญหายาเสพติดให้ได้ โดยเน้นบทบาทภาคประชาชนสมานฉันท์ และสามัคคี เสริมบทบาทแกนนำหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน
    3. แนวทางที่ 3 สร้างศูนย์เรียนรู้กองทุนแม่ของแผ่นดิน ให้เป็นแบบอย่างการพัฒนาและการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน โดยการสร้าง 1 อำเภอ 1 ศูนย์เรียนรู้กองทุนแม่ของแผ่นดิน และให้มีการบูรณาการกับเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน โดยกำหนดหมู่บ้านตัวอย่าง 80 แห่ง เทิดพระเกียรติ 80 พรรษา มหาราชินี
    4. แนวทางที่ 4 ขยายหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เพิ่มใหม่ในปี 2555 จังหวัดละ 20-50 แห่ง โดยยึดหลักคุณภาพในทุกกระบวนการ เพื่อให้ได้หมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินที่จะเข้ารับพระราชทานเชิงคุณภาพ
    5. แนวทางที่ 5 สร้างกระแส สร้างกิจกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับกองทุนแม่ของแผ่นดิน หากทุกหมู่บ้าน/ชุมชนทั่วประเทศได้กระทำอย่างพร้อมเพรียงกันแล้วย่อมเกิดเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ทั้งพลังแห่งความสามัคคี พลังแห่งความดี และพลังแห่งความจงรักภักดี
    6. แนวทางที่ 6  การพัฒนาความพร้อมการดำเนินงานเชิงคุณภาพ ทั้งการพัฒนาวิทยากร กระบวนการกองทุนแม่ของแผ่นดิน การพัฒนาประสิทธิภาพของเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดิน ระดับอำเภอ จังหวัด ภาค ประเทศ การพัฒนากลไกผู้ประสานงานกลางกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับพื้นที่ และการพัฒนาองค์ความรู้ และจัดระบบข้อมูล เพื่อให้โครงการกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมฉลอง 80 พรรษา มหาราชินีอย่างสมพระเกียรติ และเปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
    โครงสร้างการบริหารจัดการ
    1. ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.) เป็นกลไกบริหารจัดการโครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน มีบทบาทหน้าที่ การวางกรอบนโยบาย มาตรการ กลยุทธ แนวทางการปฏิบัติ
    2. ระดับส่วนกลาง มีคณะกรรมการอำนวยการโครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาราชินี (คณะกรรมการกองทุนแม่ของแผ่นดิน 80 พรรษา)
    3. ระดับจังหวัด โดย ศพส.จ./กทม. เป็นกลไกบริหารจัดการสูงสุดในงานกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับจังหวัด และมีการจัดตั้งกลไกเพิ่มเติม ได้แก่ คณะกรรมการกองทุนแม่ของแผ่นดิน 80 พรรษาระดับจังหวัด หรือ คณะกรรมการขับเคลื่อนกองทุนแม่ของแผ่นดินระดับจังหวัด
    4. ระดับอำเภอ โดย ศพส.อ./ข. เป็นกลไกบริหารจัดการในงานกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับอำเภอ/เขต และมีการจัดตั้งกลไกเพิ่มเติม ได้แก่ คณะกรรมการกองทุนแม่ของแผ่นดิน80 พรรษาระดับอำเภอ/เขต หรือ คณะกรรมการขับเคลื่อนกองทุนแม่ของแผ่นดินระดับอำเภอ/เขต
    งบประมาณในการดำเนินงานโครงการ ประกอบด้วย งบประมาณจากสำนักงาน ป.ป.ส. งบประมาณจากกระทรวงมหาดไทย งบจังหวัด งบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น งบสมทบจากหมู่บ้าน/ชุมชน และงบกลางของรัฐบาล
    ระยะเวลาการปฏิบัติงาน ตั้งแต่ มีนาคม 2555 — ธันวาคม 2555
    --ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 17 เมษายน 2555--จบ--

    วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

    นางสงกรานต์ กิมิทาเทวี ประจำปี 2555

    นางสงกรานต์ กิมิทาเทวี ประจำปี 2555
    เนื้อหา บล็อก :
    นางสงกรานต์ กิมิทาเทวี ประจำปี 2555
     
    ปีมะโรง จัตวาศก จันทรคติเป็น อธิกมาส ปกติวาร สุริยคติเป็น อธิกสุรทิน วันมหาสงกรานต์ ตรงกับ วันศุกร์ที่ 13 เมษายน เวลา 19.46.12 น. ตรงกับเวลา 20.04.12 น. (เวลามาตรฐานประเทศไทยปัจจุบัน)
    …..วันเถลิงศก ตรงกับ วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน เวลา 23.43.48น. ตรงกับเวลา 0.01.48น. (เวลามาตรฐานประเทศไทยปัจจุบัน)
    …..ได้ฤกษ์เผยชื่อ นางสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ.2555 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยกระทรวงวัฒนธรรม ได้ออกประกาศ ว่า นางสงกรานต์ประจำปีนี้คือ นางกิมิทาเทวี ทรงพาหุรัด ทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ หัตถ์ขวาทรงขรรค์ หัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จไสยาสน์ลืมเนตร (นอนลืมตา) มาเหนือหลังมหิงส์ (กระบือ) เป็นพาหนะ
    …..โดยมีคำทำนาย ของนางสงกรานต์ปีนี้ว่า จะมีสงครามรุนแรง พายุุและลม โหมเข้าใส่ แนะแนวให้ระวังมากเป็นพิเศษ…
    ….. เกณฑ์ พิรุณศาสตร์ ปีนี้ พฤหัสบดี เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 500 ห่า ตกในเขาจักรวาล 200 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 150ห่า ตกในมหาสมุทร 100 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 50 ห่า
    ….. เกณฑ์ธาราธิคุณ ชื่อ วาโย (ธาตุลม) ปริมาณน้ำ จะมีมากพอประมาณ ส่วนทางด้านลมนั้น จะโหมแรงมากเป็นพิเศษ
    ….. เกณฑ์นาคราชให้น้ำ ปีมะโรง นาคราชให้น้ำ 3 ตัว ทำนายว่า จะมีปริมาณฝนมาก ในช่วงต้นปี พอเข้าสู่ช่วงกลางปี จะกำลังพอดี เมื่อเข้าสู่ปลายปี ก็จะลดปริมาณน้อยลง
    ….. เกณฑ์ธัญญาหาร ชื่อ วิบัติ ข้าวกล้าในไร่นา จะเกิดกิมิชาติ คือ แมงและตัวด้วง จะเข้าก่อกวน พืชผลในไร่นา ข้าวกล้า จะได้ผลเพียง 1 ส่วนเท่านั้น โดยจะมีส่วนเสียมากกว่า ถึง 5 ส่วน นอกจากนั้น ยังเกิดสงครามกลางเมือง ทั้งสงครามที่เกี่ยวกับไฟ การฆ่าฟันกัน อย่างไม่ปราณี บ้านเมืองจะฉิบหายม้อดไหม้ จนหมดสิ้น
    ที่มา : Mthai News

    นางสงกรานต์ กิมิทาเทวี ประจำปี 2555
    ปีมะโรง จัตวาศก จันทรคติเป็น อธิกมาส ปกติวาร สุริยคติเป็น อธิกสุรทิน วันมหาสงกรานต์ ตรงกับ วันศุกร์ที่ 13 เมษายน เวลา 19.46.12 น. ตรงกับเวลา 20.04.12 น. (เวลามาตรฐานประเทศไทยปัจจุบัน)
    …..วันเถลิงศก ตรงกับ วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน เวลา 23.43.48น. ตรงกับเวลา 0.01.48น. (เวลามาตรฐานประเทศไทยปัจจุบัน)
    …..ได้ฤกษ์เผยชื่อ นางสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ.2555 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยกระทรวงวัฒนธรรม ได้ออกประกาศ ว่า นางสงกรานต์ประจำปีนี้คือ นางกิมิทาเทวี ทรงพาหุรัด ทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ หัตถ์ขวาทรงขรรค์ หัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จไสยาสน์ลืมเนตร (นอนลืมตา) มาเหนือหลังมหิงส์ (กระบือ) เป็นพาหนะ
    …..โดยมีคำทำนาย ของนางสงกรานต์ปีนี้ว่า จะมีสงครามรุนแรง พายุุและลม โหมเข้าใส่ แนะแนวให้ระวังมากเป็นพิเศษ
    ….. เกณฑ์ พิรุณศาสตร์ ปีนี้ พฤหัสบดี เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 500 ห่า ตกในเขาจักรวาล 200 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 150ห่า ตกในมหาสมุทร 100 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 50 ห่า
    ….. เกณฑ์ธาราธิคุณ ชื่อ วาโย (ธาตุลม) ปริมาณน้ำ จะมีมากพอประมาณ ส่วนทางด้านลมนั้น จะโหมแรงมากเป็นพิเศษ
    ….. เกณฑ์นาคราชให้น้ำ ปีมะโรง นาคราชให้น้ำ 3 ตัว ทำนายว่า จะมีปริมาณฝนมาก ในช่วงต้นปี พอเข้าสู่ช่วงกลางปี จะกำลังพอดี เมื่อเข้าสู่ปลายปี ก็จะลดปริมาณน้อยลง
    ….. เกณฑ์ธัญญาหาร ชื่อ วิบัติ ข้าวกล้าในไร่นา จะเกิดกิมิชาติ คือ แมงและตัวด้วง จะเข้าก่อกวน พืชผลในไร่นา ข้าวกล้า จะได้ผลเพียง 1 ส่วนเท่านั้น โดยจะมีส่วนเสียมากกว่า ถึง 5 ส่วน นอกจากนั้น ยังเกิดสงครามกลางเมือง ทั้งสงครามที่เกี่ยวกับไฟ การฆ่าฟันกัน อย่างไม่ปราณี บ้านเมืองจะฉิบหายม้อดไหม้ จนหมดสิ้น
    ที่มา : Mthai News

    วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

    10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับยาเสพติด

    10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับยาเสพติด

    1. ยาเสพติดให้โทษ คือ อะไร
    ยาเสพติดให้โทษ ตามความหมายของ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2552 หมายถึง สารเคมีหรือวัตถุชนิดใดๆ ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยรับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือด้วยประการใดๆ แล้ว ทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลักษณะสำคัญ เช่น ต้องเพิ่มขนาดการเสพเรื่อยๆ มีอาการถอนยาเมื่อขาดยา มีความต้องการเสพทั้งร่างกาย และจิตใจอย่างรุนแรงอยู่ตลอดเวลา และสุขภาพโดยทั่วไปจะทรุดโทรมลง จนถึงขั้นเสียชีวิต
    2. การใช้ยาเสพติดมีอันตรายอย่างไร
    การใช้ยาเสพติดมีอันตรายต่อสุขภาพ ดังต่อไปนี้
    1. ทำลายสุขภาพให้ทรุดโทรม น้ำหนักลด ผิวคล้ำ ร่างกายซูบผอม
    2. เป็นบุคคลไร้สมรรถภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ อารมณ์ไม่ปกติ เฉี่อยชา เกียจคร้าน
    3. เสียบุคลิกภาพ ขาดความสนใจในตัวเอง มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
    4. อาจประสบอุบัติเหตุได้ง่าย เพราะการควบคุมทางกล้ามเนื้อและระบบประสาทบกพร่อง
    5. เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย เพราะความต้านทานโรคน้อย ติดเชื้อง่าย

    3. จะสังเกตุอาการผู้ติดยาเสพติดได้อย่างไร
    ยาเสพติดเมื่อเกิดการเสพติดแล้ว จะมีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ ซึ่งทำให้ลักษณะและความประพฤติของผู้เสพเปลี่ยนไปจากเดิมที่อาจสังเกตพบได้ คือ
    1. ร่างกายทรุดโทรม ซูบผอม
    2. อารมณ์ฉุนเฉียว หรือเงียบขรึมผิดปกติ จึงมักพบผู้เสพติดชอบทะเลาะวิวาทหรือทำร้ายผู้อื่นหรือในทางกลับกันบางคนอาจ ชอบแยกตัวอยู่คนเดียวและหนีออก จากพรรคพวกเพื่อนฝูง
    3. ถ้าผู้เสพเป็นนักเรียน มักพบว่าผลการเรียนแย่ลง ถ้าเป็นคนทำงาน มักพบว่าประสิทธิภาพในการทำงานลดลงหรือไม่ยอมทำงานเลย
    4. ใส่เสื้อแขนยาวตลอดเวลา เพื่อปกปิดรอยเข็มที่ฉีดยาตรงท้องแขนด้านใน หรือรอยกรีดตรงต้นแขนด้านใน
    5. ติดต่อกับเพื่อนแปลกๆ ใหม่ๆ ซึ่งมีพฤติกรรมผิดปกติ
    6. ขอเงินจากผู้ปกครองเพิ่ม หรือยืมเงินจากเพื่อนฝูงเสมอ เพื่อนำไปซื้อยาเสพติด
    7. ขโมย ฉกชิง วิ่งราว เพื่อหาเงินไปซื้อยาเสพติด
    8. ผู้ติดยาเสพติดบางชนิด เช่น เฮโรอีน จะมีอาการอยากยา บางคนจะมีอาการรุนแรงถึงขั้นลงแดง

    4. จะสังเกตุอาการคนเมายาบ้าได้อย่างไร
    ผู้ที่เสพยาบ้าเป็นประจำ จะส่งผลให้ผู้เสพมีระบบประสาทผิดปกติ เมื่อถึงจุดหนึ่งจะเกิดอาการหูแว่ว ประสาทหลอน หวาดระแวง จนเกิดความเครียด คิดว่าจะมีคนมาฆ่า หรือทำร้าย บางรายกลัวมากต้องหาอาวุธไว้ป้องกันตัว หรือคลุ้มคลั่งจับตัวประกัน ซึ่งอาจสังเกตอาการของคนเมายาบ้า ได้ดังนี้
    1. อยู่ไม่สุข ลุกลี้ลุกลน กระสับกระส่าย
    2. หวาดกลัว และระแวงอยู่ตลอดเวลา
    3. สีหน้าเลื่อนลอยเหมือนคนไม่ได้นอนหลับพักผ่อน
    4. เนื้อตัวสกปรก มอมแมม

    5.ถ้าบุตรหลานหรือบุคคลในครอบครัวของท่านติดยาเสพติดควรทำอย่างไร
    โดยหลักการตาม พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 แล้วผู้เสพยาเสพติดมีสภาพเป็นผู้ป่วยอย่างหนึ่งมิใช่อาชญากรปกติ การฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ติดยาเสพติดจึงสมควรกระทำให้กว้างขวาง
    ถ้าบุตรหลานหรือบุคคลในครอบครัวของท่านติดยาเสพติด ท่านสามารถช่วยเหลือบุคคลเหล่านั้นได้ก่อนถูกจับกุมดำเนินคดี โดยขอรับคำปรึกษาจากสถานที่ให้คำปรึกษา และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ได้แก่ โรงพยาบาลของรัฐ เช่น รพ.ธัญญารักษ์, รพ.พระมงกุฏเกล้า, รพ.ตำรวจ, รพ.จุฬาลงกรณ์, รพ.ราชวิถี, รพ.ตากสิน, รพ.ทหารผ่านศึก , รพ.นพรัตน์ราชธานี เป็นต้น โรงพยาบาลประจำจังหวัดทุกจังหวัด และศูนย์บำบัดรักษายาเสพติดต่างๆ ฯลฯ

    6.หากผู้ปกครองปล่อยปละละเลยให้บุตรหลานเสพยาเสพติดให้โทษผู้ปกครองมีความผิดหรือไม่
    ผู้ปกครองมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน ดูแลเอาใจใส่เด็กในความปกครองให้ประพฤติตนให้เหมาะสม หาก ผู้ปกครองรายใดไม่ดูแลเอาใจใส่ เป็นเหตุให้เด็กประพฤติ ตนไม่สมควร มีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำความผิด เช่น เสพยาเสพติดให้โทษ เป็นต้น ผู้ปกครองอาจจะมีความผิดถึงรับโทษจำคุกไม่เกิน 3เดือน หรือปรับไม่เกิน สามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.ค้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 4,26,78 ประกอบกฎกระทรวงกำหนดเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด พ.ศ.2549 ลงวันที่ 8 ส.ค.49
    ผู้ปกครองจึงไม่ควรสนับสนุนหรือยินยอมให้บุตรหลานของท่านเที่ยวเตร่ในสถาน ที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น สถานบริการกลางคืน สถานที่เสี่ยงภัยต่างๆ

    7.ท่านหรือบุตรหลานของท่านไม่ยินยอมให้ตรวจปัสสาวะได้หรือไม่ และมีโทษหรือไม่ อย่างไร
    บุคคลใดมีพฤติการณ์น่าสงสัยว่าเสพยาเสพติด เจ้าพนักงานมีอำนาจตรวจหรือทดสอบ หรือสั่งให้บุคคลใดรับการตรวจหรือทดสอบหาสารเสพติดจากปัสสาวะได้ตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ.2519 มาตรา 14 ทวิ ประกอบประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ลง 11 ก.ค.43 เรื่องกำหนด หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการตรวจหรือทดสอบว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดมีสาร เสพติดอยู่ในร่างกายหรือไม่
    บุคคลใดไม่ยินยอมให้ตรวจหรือทดสอบหาสารเสพติดจากปัสสาวะ ต้องรับโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปราม ยาเสพติด พ.ศ.2519 มาตรา 16
    ดังนั้นจึงควรระมัดระวังมิให้บุตรหลานของท่านเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดตามสถานบริการต่างๆ โดยเด็ดขาด

    8. สถานประกอบการประเภทใด ที่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด และต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร
    มีสถานประกอบการ 6 ประเภท ที่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ.2519 มาตรา 13 ทวิ ประกอบ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี (พ.ศ.2543) ณ วันที่ 16 ส.ค.43 เรื่องกำหนดประเภทสถานประกอบการที่อยู่ภายใต้บังคับของมาตรการป้องกันและ ปราบปราม การกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการ ได้แก่
    1. ปั๊มน้ำมัน
    2. ปั๊มก๊าซ
    3. สถานบริการต่างๆ
    4. ที่พักอาศัยในเชิงพาณิชย์ ประเภท หอพัก อาคารชุด หรือเกสเฮ้าส์ ที่ให้ผู้อื่นเช่า
    5. โต๊ะบิลเลียต หรือสนุกเกอร์ ที่เก็บค่าบริการจากผู้เล่น
    6. โรงงาน
    เจ้าของสถานประกอบการทั้ง 6 ประเภท มีหน้าที่ควบคุม สอดส่อง ดูแล ไม่ให้พนักงานหรือบุคคลภายนอกมามั่วสุมกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดใน หรือบริเวณสถาน ประกอบการ และต้องจัดให้มีป้ายหรือประกาศเตือนเกี่ยวกับพิษภัยของยาเสพติด หรืออัตราโทษตามกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปราม ยาเสพติด พ.ศ.2519 มาตรา 13 ทวิ ประกอบประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2543 ณ วันที่ 16 ส.ค.43 เรื่องกำหนดมาตรการ ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการ
    หากปล่อยปละละเลย หรือละเว้นไม่ติดป้ายหรือประกาศเตือนดังกล่าว อาจถูกปรับเป็นเงินหนึ่งหมื่นบาท หรือสามหมื่นบาท หรือห้าหมื่นบาท แล้วแต่กรณี ตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบรามยาเสพติด พ.ศ.2519 มาตรา 13 ตรี ประกอบระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดว่าด้วยการตักเตือน การเปรียบเทียบปรับ และการปิดชั่วคราวสถานประกอบการหรือการพักใช้ใบอนุญาตประกอบการ พ.ศ.2545 ณ วันที่ 12 ธ.ค.45 ข้อ 17
    9. หากพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการ เจ้าของสถานประกอบการมีความรับผิดตามกฎหมายยาเสพติดหรือไม่ อย่างไร ถ้ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถาน ประกอบการทั้ง 6 ประเภท โดยเจ้าของสถานประกอบการไม่สามารถชี้แจงหรือพิสูจน์การใช้ความระมัดระวังได้ สถานประกอบการนั้นอาจถูกสั่งปิดชั่วคราวหรือพักใช้ใบอนุญาต มีกำหนด 7 วัน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ.2519 มาตรา 13 ตรี ประกอบระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดว่าด้วยการตักเตือนการ เปรียบเทียบปรับ และการปิดชั่วคราวสถานประกอบการหรือการพักใช้ใบอนุญาต ประกอบการ พ.ศ.2545 ณ วันที่ 12 ธ.ค.45 ข้อ 18

    10. ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างไร
    ถ้าท่านพบแหล่งจำหน่าย พักยา มั่วสุม หรือเสพยาเสพติด หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ท่านมีส่วนช่วยเหลือสังคมในการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติดได้ โดยแจ้งให้หน่วยราชการต่อไปนี้ทราบ
    1. ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์     สำนักงานตำรวจแห่งชาติ     1194  ตู้ ป.ณ.1234 รองเมือง กรุงเทพฯ 10330
    2. ศูนย์รับแจ้งเบาะแสยาเสพติด     กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด     1688   www.thaidrugpolice.com
    3. ศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังปัญหายาเสพติด     สำนักงาน ป.ป.ส.     1386 ตู้ ป.ณ.123 สามเสนใน พญาไท กรุงเทพฯ 10400
    4. ศูนย์รับแจ้งเหตุ กองบัญชาการตำรวจนครบาล

    ขอบคุณ :
    http://203.113.114.147/jm/index.php?option=com_content&view=article&id=10&Itemid=20

    วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

    ศิลปะในการเป็นผู้บริหาร

    ศิลปะในการเป็นผู้บริหาร
    โดย... ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
    มีหนังสือและองค์ความรู้มากมายที่พูดถึงเรื่องของ ผู้บริหาร มีทั้งนักวิชาการ ผู้ปฏิบัติจริง ทั้งต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งกระผมได้อ่าน ได้ศึกษา อาจสรุปได้เป็นประเด็นสำคัญๆดังนี้
    1.ผู้บริหาร ต้องมีพันธะผูกพัน(Commitment) คือ ต้องมีความรับผิดชอบในคำพูด คำสัญญา การแสดงออก การกระทำ ต่อสิ่งที่ได้ทำไปหรือต่อบุคคลอื่น เช่น สัญญาว่าจะทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จภายในวันนี้ ผู้บริหาร ก็ต้องพยายามทำให้เสร็จถึงแม้จะทำถึง เที่ยงคืน ตี 1 ตี 2 หรือรุ่งเช้าก็ต้องทำ
        2.ผู้บริหารที่ดี ต้องมีสติปัญญา และการตัดสินใจที่ถูกต้อง รวดเร็ว เด็ดขาด
    แน่นอน การตัดสินใจย่อมต้องมีการผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าผู้บริหาร กลัวการที่จะตัดสินใจลงไปแล้ว อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ องค์กร หน่วยงาน รวมถึงประเทศชาติ ก็ได้ถ้าผู้บริหารคนนั้นบริหารประเทศ สำหรับหลักการตัดสินใจที่ดี เราควรแสวงหาข้อมูลให้มากที่สุดในเรื่องที่เราต้องตัดสินใจแล้ว มองอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ข้อมูล หาสาเหตุของปัญหา แนวทางแก้ปัญหาและจึงตัดสินใจ เมื่อ ผู้บริหารตัดสินใจผิดพลาดก็ควรรับผิดชอบ
                    3.ผู้บริหารที่ดี ต้องสร้างความศรัทธา แก่ลูกน้อง ลูกค้า เจ้าของกิจการ รวมทั้งผู้พบเห็น ภาพพจน์(Image) ของผู้บริหารถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ การพัฒนาบุคลิกภาพ การพูดจา การแต่งกาย และการสร้างชื่อเสียง จึงเป็นส่วนสำคัญในเรื่องนี้  ทำอย่างไรให้คนเชื่อถือไว้วางใจ และเกิดการกระทำในสิ่งที่ผู้นำ จูงใจให้กระทำ
                    4.ผู้บริหาร ต้องเรียนรู้อย่างไม่หยุดหยั้ง เนื่องจากยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่งการเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน ดังนั้นผู้บริหาร ต้องรู้จักเรียนรู้สิ่งต่างๆ  ไม่ว่าเทคโนโลยี  การหาข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ใหม่ๆ  ดังนั้นการไปดูงานต่างประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญทำให้เห็นสิ่งใหม่ๆแล้วกลับนำมาใช้ในองค์กร ในหน่วยงาน ในประเทศของตน
    5.ผู้บริหารที่ดี  มักจะเลือกงานที่ตัวเองทำแล้วสนุก อีกทั้งยังตรงกับเป้าหมายในชีวิต ความสามารถในตัวเอง  การเลือกอาชีพในการทำงานจึงถือว่าสำคัญมากในการที่คนๆ นั้น จะประสบความสำเร็จในการเป็นผู้บริหาร ดังนั้น การเลือกงานที่ชอบจึงสำคัญกว่าเลือกงานเพราะมีเงินเดือนมาก หรือได้เงินตอบแทนมาก โดยที่ตนเองอาจไม่ชอบงานนั้นๆ
    6.ผู้บริหารต้องทำงานโดยใช้วิธีที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต                ลักษณะงานการบริหารในปัจจุบันมีความแตกต่างจากงานบริหารในอดีต อาจกล่าวได้ว่ามีความแตกต่าง ดังนี้ 
                    6.1.ผู้บริหารต้องทำงานหนัก เนื่องจากมีภาระความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น และต้องทำงานให้เสร็จ จึงทำให้ในแต่ละวัน ผู้บริหารต้องแก้ปัญหามากขึ้น มีความเครียดในการทำงานมากขึ้นกว่าผู้บริหารในอดีต 
                    6.2.ผู้บริหารต้องมีความสามารถหลากหลาย เนื่องจากการทำงานในยุคปัจจุบันผู้บริหารต้องทำงานและทำกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเจรจาต่อรอง   งานด้านเอกสาร  การเป็นประธานในงานต่างๆ   การประชุม  การกล่าวปราศรัยในงานต่างๆ 
                    6.3.ผู้บริหารต้องทำงานร่วมกับสื่อมวลชนทุกประเภทมากขึ้น  การบริหารองค์การในยุคปัจจุบัน มีการแข่งขันสูง ผู้บริหารจึงต้องเป็นนักการตลาด นักประชาสัมพันธ์  บางสถานการณ์จะต้องถูกสัมภาษณ์จากสื่อสารมวลชน 
                    6.4.ผู้บริหารต้องทำงานเกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารมาก  ในยุคปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร
                    สรุปแล้วการเป็น ผู้บริหาร เป็นทั้งศาสตร์ที่สามารถเรียนกันได้ เป็นทั้งศิลป์ คือ นำมาประยุกต์ได้
    โดยไม่จำกัดว่าเกิดในสถานะภาพใด ไม่ว่า ยากดี มีจน เป็นลูกมหาเศรษฐี  ไม่ว่ายากดี มีจน คนเราก็สามารถเป็น ผู้บริหารที่ดีได้ 

    สถาบันพัฒนาบุคลากร ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์http://www.oknation.net/blog/print.php?id=432290 

    วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

    ข้อมูล กชช.2ค

     ความหมายและที่มาของข้อมูล กชช.2
                    ข้อมูลพื้นฐานระดับหมู่บ้าน/ชุมชน (กชช. 2ค) คือ ข้อมูลหมู่บ้านที่แสดงให้เห็นสภาพทั่วไปและปัญหาของหมู่บ้านชนบทด้านต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ สุขภาพและอนามัย ความรู้
    และการศึกษา ความเข้มแข็งของชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาพแรงงานและยาเสพติด เป็นข้อมูลที่จัดเก็บทุกหมู่บ้านในชนบทเป็นประจำทุก 2 ปี
                    เครื่องชี้วัดสภาพปัญหาของหมู่บ้าน ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (ปี 2550-2554) ที่ผ่านมา มี 6 ด้าน 31 ตัวชี้วัด มีการจัดระดับความรุนแรงของปัญหาและระดับการพัฒนาของหมู่บ้าน ทำให้ทราบลำดับความสำคัญของปัญหา และพื้นที่เป้าหมายที่ควรได้รับการพัฒนาเป็นพิเศษ
    แนวคิดและความเป็นมาของข้อมูล กชช.2
                ปี 2525 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มอบให้กรมการพัฒนาชุมชน (พช.) จัดเก็บข้อมูล กชช. 2ค ในพื้นที่เป้าหมาย 38 จังหวัด 12,586 หมู่บ้าน
                ปี 2527 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ (สศช.) มอบให้กรมการพัฒนาชุมชน (พช.) จัดเก็บข้อมูล กชช. 2ค ในพื้นที่เป้าหมาย 38 จังหวัด 12,586 หมู่บ้าน และคณะอนุกรรมการแผนพัฒนาระดับภูมิภาคและท้องถิน (อผภ.) เห็นชอบให้กรมการพัฒนาชุมชน (พช.)จัดเก็บข้อมูลนอกพื้นที่เป้าหมาย 42,246 หมู่บ้าน รวม 54,832 หมู่บ้าน
                ปี 2529 ศูนย์ประสานการพัฒนาชนบทแห่งชาติ (ศปช.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ (สศช.) ขอความร่วมมือจากกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้รับผิดชอบงานของคณะอนุกรรมการแผนพัฒนาระดับภูมิภาคและท้องถิ่น (อผภ.) มอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชน (พช.) จัดเก็บข้อมูล กชช. 2ค ทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ จำนวน 54,832 หมู่บ้าน
                ปี 2530 คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2530 เห็นชอบให้มีการจัดเก็บข้อมูล กชช. 2ค ผนวกกับ ข้อมูล จปฐ. เป็นประจำทุกสองปี ตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นไป  ในระยะแรก (ปี 2531) มีสถาบันประมวลข้อมูลเพื่อการศึกษาและการพัฒนา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (สปข.) สนับสนุนด้านวิชาการและประมวลผลข้อมูล และจัดทำโปรแกรมสำเร็จรูปในการเรียกใช้ข้อมูล กชช. 2ค ควบคู่ไปกับการดำเนินการติดตั้งเครืองคอมพิวเตอรให้สำนักงานจังหวัด 75 จังหวัด และหน่วยงานระดับกระทรวงและกรมรวม 21 หน่วยงาน
                ปี 2540 ได้โอนการตั้งจ่ายงบประมาณในการจัดเก็บข้อมูล กชช. 2ค จาก สศช. มาที่กรมการพัฒนาชุมชน โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสถาบันประมวลข้อมูลเพื่อการศึกษาและการพัฒนา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร (สปข.) ยังคงบทบาทในการกำกับทิศทางของข้อมูลและสนับสนุนด้านวิชาการในคณะทำงานปรับปรุงและจัดทำตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตของประชาชน ภายใต้คณะกรรมการอำนวยการงานพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน (พชช.) ซึ่งมีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานและกรมการพัฒนาชุมชนเป็นเลขานุการ
                ปี 2549 ได้มีการศึกษาปรับปรุงเครื่องชี้วัดข้อมูล กชช. 2ค เพื่อใช้จัดเก็บข้อมูลในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 – 2554) โดยสรุป เครื่องชี้วัดข้อมูล พื้นฐานระดับหมู่บ้าน/ชุมชน (กชช. 2ค) ที่จะนำมาใช้ในการจัดเก็บข้อมูลในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (ปี 2550-2554) มี 6 ด้าน 31 ตัวชี้วัด
                วิวัฒนาการของข้อมูล กชช. 2ค ในช่วง 20 ปีที่ผานมา มีการปรับปรุงตัวชี้วัดใหสอดคลองกับแผนพัฒนาประเทศและนโยบายรัฐบาล ในทุกช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการระบุปัญหาแต่ละด้าน เพื่อกำหนดเป้าหมายการพัฒนาและจัดสรรงบประมาณให้ตรงตามสภาพความเป็นจริง ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 เป็นต้นมา ข้อมูล กชช. 2ค ได้เป็นเครื่องมือของทองถิ่นมากขึ้น ควบคู่ไปกับการสนับสนุนงานพัฒนาชนบท ระดับนโยบายกระทรวง และภูมิภาค
                คำว่า กชช. 2มักเป็นคำถามสำหรับนักพัฒนารุ่นหลังว่า มีความหมายอย่างไร
                    “กชช. 2เป็นหนึ่งในรหัสของชุดข้อมูลที่นักพัฒนาชนบท อาทิ นายโฆสิต ปันเปี่ยมรัษฏ์ และ ดร.ธเนตร นรภูมิพิพัชน์ ที่ได้ริ่เริมจัดทำข้อมูลพื้นฐานระดับต่างๆ ขึ้น โดยนำคำว่า กชช.มาจาก คณะกรรมการพัฒนาชนบทแห่งชาติซึ่งประกอบด้วยชุดข้อมูล ดังนี้
                    กชช. 2ก หมายถึง รายชื่อทำเนียบหมู่บ้านยากจนจำนวน 12,555 หมู่บ้าน ที่ได้ประกาศไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5”
                    กชช. 2ข หมายถึง ข้อมูลระดับอำเภอ ปี 2526 และ 2528 ขณะนี้ไม่มีการจัดทำ
                    กชช. 2ค หมายถึง ข้อมูลพื้นฐานด้านเศรษฐกิจและสังคมระดับหมู่บ้านดังนั้น คำวา กชช. 2จึงไม่มีความหมายโดยตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากคำว่า จปฐ.ซึ่งเป็น คำย่อของ ความจำเป็นพื้นฐาน
    หลักการของข้อมูล กชช.2
                1. ข้อมูล กชช. 2ค เป็นข้อมูลพื้นฐานระดับหมู่บ้าน/ชุมชนที่ทำให้สามารถรู้สภาพปัญหาของหมู่บ้าน ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนแก้ไขปัญหาของหมู่บ้าน ตำบล ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง หรือกลุ่ม/องค์กรประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
                2. ข้อมูล กชช. 2ค เป็นข้อมูลที่ต้องดำเนินการจัดเก็บทุกสองปี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2530 โดยการจัดเก็บข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์จากผู้นำท้องถิ่นในแต่ละหมู่บ้าน เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการวางแผนพัฒนาตำบล แผนพัฒนาอำเภอ และแผนพัฒนาจังหวัด
    วัตถุประสงค์ของข้อมูล กชช.2
            1. เพื่อใช้ข้อมูล กชช. 2ค เป็นเครื่องมือในการสำรวจสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนในแต่ละหมู่บ้านทั่วประเทศ สำหรับการวางแผน การกำหนดนโยบายและเป็นข้อมูลการประเมินผลการพัฒนาโดยส่วนรวม
            2. เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูล กชช. 2ค ในการวางแผนการติดตามและประเมินผลการพัฒนาชนบท
            3. เพื่อใช้ระดับการพัฒนาของหมู่บ้าน/ชุมชน จากข้อมูล กชช. 2ค กำหนดพื้นที่เป้าหมายในการพัฒนาของแต่ละจังหวัด อำเภอ และตำบล

    จปฐ. คืออะไร


    จปฐ. คืออะไร
     
    จปฐ.คืออะไร            ข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) คือ ข้อมูลในระดับครัวเรือนที่แสดงถึงสภาพความจำเป็นของคนในครัวเรือนในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตที่ได้กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำเอาไว้ว่า คนควรจะมีคุณภาพชีวิตในเรื่องนั้น ๆ อย่างไร ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้มีชีวิตที่ดีและสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
    แนวความคิด
                สภาพัฒน์ฯได้กำหนดรูปแบบของลักษณะของสังคมไทยและคนไทยที่พึงประสงค์ในอนาคต โดยกำหนดเป็นเครื่องชี้วัดความจำเป็นพื้นฐาน(จปฐ.)ของคนไทย ได้ข้อสรุปว่า การมีคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย จะต้องผ่านเกณฑ์ความจำเป็นพื้นฐาน(จปฐ.) ทุกตัวชี้วัด

    ความเป็นมา            ปี 2528 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2528 ให้มีการดำเนินการ โครงการปีรณรงค์คุณภาพชีวิตและประกาศใช้เป็นปีรณรงค์คุณภาพชีวิตของประชาชนในชาติ (ปรช.) (20 สิงหาคม 2528 - 31ธันวาคม 2530) โดยใช้เครื่องชี้วัดความจำเป็นพื้นฐาน หมวด 32 ตัวชี้วัด เป็นเครื่องมือที่ใช้วัด คุณภาพชีวิตของคนไทย
                ปี 2532 คณะกรรมการพัฒนาชนบทแห่งชาติ(กชช.) มีมติเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2532 ให้กรมการพัฒนาชุมชน จัดเก็บข้อมูล จปฐ. ในเขตชนบทเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี 2533 จนถึงปัจจุบัน โดยมีการปรับปรุงเครื่องชี้วัดข้อมูล จปฐ. ทุก ปี ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ ชาติ
                ปี 2544 คณะกรรมการอำนวยการงานพัฒนา คุณภาพชีวิตของประชาชน(พชช.) มีมติ เมื่อวันที่ กุมภาพันธ์ 2544 ให้กรมการพัฒนาชุมชน รับผิดชอบประสาน การจัดเก็บข้อมูล จปฐ. ในเขตเมือง ด้วยโดยให้ใช้เครื่องชี้วัดเหมือนเขตชนบท(มติเมื่อ 31 พ.ค. 2545)

    หลักการ
                (1) ใช้เครื่องชี้วัดความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) เป็นเครื่องมือของกระบวนการเรียนรู้ของประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อให้ประชาชนทราบถึงสภาพความเป็นอยู่ของตนเอง ครอบครัว และชุมชน ว่าบรรลุตามเกณฑ์ความ จำเป็นพื้นฐานแล้วหรือไม่
                (2) ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนา โดยผ่านกระบวนการ จปฐ. นับตั้งแต่การกำหนดปัญหาความต้องการที่แท้จริงของชุมชนการค้นหาสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหา และการประเมินผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
                (3) ใช้ข้อมูล จปฐ. เป็นแนวทางในการคัดเลือกโครงการต่าง ๆ ของรัฐให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาที่แท้จริงของชุมชนสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างทั่วถึง และมี ประสิทธิภาพ

    วัตถุประสงค์
                เพื่อให้ประชาชนสามารถพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองและครอบครัว ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี อย่างน้อยผ่านเกณฑ์ความจำเป็น พื้นฐาน

    ทำไมต้องมีการจัดเก็บข้อมูล จปฐ.
                ข้อมูล จปฐ. เป็นข้อมูลที่จะสามารถสะท้อนถึงความเป็นอยู่ หรือคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกครัวเรือนว่า ในขณะนั้นมีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร ซึ่งภาครัฐจะนำข้อมูลนี้ไปวิเคราะห์ วางแผน แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้น ข้อมูล จปฐ.นี้ เสมือนกับกระจกที่สามารถสะท้อนสภาพของคนในครัวเรือน ชุมชน ตำบล อำเภอ จังหวัด หรือภาพรวมของประเทศ

                หากไม่มีการนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผน หรือกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาประเทศแล้วการพัฒนาก็เปรียบเสมือนการเดินทางที่ไม่มีการวางแผน ไม่มีจุดหมายปลายทาง ซึ่งก็จะทำให้การเดินทางเสียเวลา เสียเงิน หรืองบประมาณ ไม่มีที่สิ้นสุด
                ข้อมูล จปฐ. ยังเปรียบเสมือนเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ทุกคนทุกระดับใช้เป็นเครื่องชี้วัดสภาพความเป็นอยู่ หรือคุณภาพชีวิตว่า ณ เวลานั้น ตนหรือประเทศของตนมีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร เปรียบดังปรอดที่ใช้วัดอุณหภูมิของคนไข้ หากหมอไม่ทราบระดับการป่วยของคนไข้ว่าอยู่ระดับใด ก็ไม่สามารถที่จะรักษาได้อย่างถูกต้อง ข้อมูล จปฐ. ยังเป็นสิ่งที่บอกเหตุ หรือระบบเตือนภัยให้กับทุกคนด้วยว่าขณะนี้ควรจะเร่งดำเนินการแก้ไขเรื่องใด ก่อน - หลัง ตามลำดับความสำคัญ

    วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

    การเลือกซื้อ AirCard 3G

    การเลือกซื้อ AirCard 3G

    3G คืออะไร
    ระบบ3G
    (UMTS) นั้นคือการนำเอาข้อดีของระบบCDMA

    มาปรับใช้กับ GSM เรียกว่า W-CDMA ซึ่งถูกพัฒนาโดย
    บริษัท NTT DoCoMo ของญี่ปุ่นสำหรับเมืองไทยนั้น 
    ระบบ 3G จะเป็น เทคโนโลยีแบบ HSPA 
    ซึ่งแยกย่อยได้เป็น HSDPA HSUPA และ HSPA+
    HSDPAนั้นจะสามารถ รับส่งข้อมูลได้สูงสุด

    ที่Download 14.4 Mbps Upload 384 Kbps. 
    ปัจจุบันผู้ให้บริการทั่วโลกยังให้บริการ
    อยู่ที่ Download 7.2Mbps เท่านั้น
    HSUPAจะเหมือนกับ HSDPAทุกอย่างแต่การUploadข้อมูล
    จะวิ่งที่ความเร็วสูงสุด 5.76 Mbps HSPA+ เป็นระบบในอนาคต 
    การDownload ข้อมูลจะอยู่ที่ 42 Mbps Upload 22 Mbps
    สำหรับในเมืองไทยนั้น ระบบ3G HSPA ที่ Operator AIS 

    หรือ DTAC นำมาใช้จะเป็น HSDPA โดยการ Download 
    จะอยู่ที่ 7.2Mbps ซึ่งน่าจะได้ใช้กันในไม่ช้า

    การเลีอกซื้อ 3G ข้อควรระวังในการเลือกซื้อ AirCard
    แบบที่รองรับ 3G
    คลื่นความถี่ 3G ที่ใช้กันทั่วโลกจะใช้อยู่ 3 ความถี่ที่เป็นมาตราฐาน
    คือ 850 1900 และ 2100 ซึ่งเมืองไทยจะแบ่งเป็นดังนี้
    คลื่นความถี่ ( band ) 850 จะถูกพัฒนาโดย Dtac และ True
    คลื่นความถี่ ( band ) 900 จะถูกพัฒนาโดย AIS
    คลื่นความถี่ ( band ) 2100 กำลังรอ กทช.ทำการประมูลเพื่อจัดสรรคลื่นความถี่
    คลื่นความถี่ ( band ) 1900 และ 2100 จะถูกพัฒนาโดย TOT

    ดังนั้นการเลือกซื้อ AirCard / Router หรือ โทรศัพท์มือถือ
    และต้องการให้รองรับ 3G ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนว่าสามารถ
    รองรับได้ทั้ง 3 คลื่นหรือไม่ หรือเพียงบางคลื่นเท่านั้น
    ซึ่งส่วนนี้ก็สำคัญไม่ควรมองข้าม

    Login Window7

    คุณเบื่อกับการ Login Window7ไหม?

    ปกติเวลาเปิด Windows7 จะต้องให้ผู้ใช้ Login ต้องใส่ Password เข้าใช้ตลอด
    ซึ่งถ้าคุณใช้คอมพิวเตอร์เพียงคนเดียวก็อาจจะเบื่อกับขั้นตอนนี้
    วันนี้ผมมีเทคนิค ทำให้ปัญหานี้หมดไปครับ คือทำให้เป็น Auto Login เวลาเปิดเครื่อง
    windows7ก็จะไม่ให้ Login อีก โดยใช้ Advanced User Account Feature ครับ..


    ไปที่ Start Menu ตรงคำสั่ง Run ให้พิมพ์ Netplwiz แล้วกด Enter
    1.ที่หน้าต่าง User Accounts เลือก User ที่จะทำ Auto Login



    2.คลิกเอาเครื่องหมายถูกออกจากสี่เหลี่ยมหน้า User must enter a user name and password
    to use this Computer แล้วคลิก Apply และ ok ครับ
    แค่นี้ก็ไม่มีหน้า Loginมากวนใจแล้วครับ

    วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

    6 เรื่องไม่ควรทำ เมื่อขับลุยน้ำท่วม

    สำหรับ วิกฤตการณ์น้ำท่วมระดับชาติครั้งใหญ่ในรอบหลายปี จนบางคนนั้นบอกว่า นี่เป็น "มหาภัยสึนามิน้ำจืด" ที่ทำให้หลายคนนั้นต้องตกอยู่ภายใต้ภัยพิบัติอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่หวั่นอันตรายในการเข้าไปช่วยพื้นที่ประสบภัย
    เมื่อก่อนหน้านี้ เราเคยพูดถึงการขับรถลุยน้ำท่วมไปแล้วกับข้อปฏิบัติที่ควรจะทำเมื่อคุณต้องลุยเส้นทางน้ำท่วม แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังมีหลายคนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจในการขับรถลุยน้ำ แต่เอาเป็นว่าถ้าคุณกำลังต้องผ่านทางลุยน้ำท่วมระดับสูง สิ่งเหล่านี้คือข้อห้ามระหว่างขับขี่ในน้ำท่วม
    ข้อปฏิบัติขับรถลุยน้ำท่วม
    1.ห้ามขับรถเร็ว เส้นทางน้ำท่วมนั้นนับเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่ท้าทายอย่างมากสำหรับนักขับ และสิ่งที่สำคัญเมื่อคุณใช้เส้นทางที่เต้มไปด้วยน้ำนั้นคือห้ามขับรถเร็ว เหตุผลที่เราไม่แนะนำให่คุณขับรถเร็วนั้น ก็เพราะ 1.น้ำอาจจะกระเด็นใส่คนอื่นๆ หรือ เพื่อนร่วมทาง ซึ่งคุณอาจจะโดนสาบแช่งตามหลังได้ และ 2.เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ เนื่องจากน้ำท่วมนั้น อาจทำให้การเบรกให้หยุดนั้นมีประสิทธิภาพลดลง เช่นเดียวกับระยะเบรค ที่เกิดจากการสัมผัสผิวถนนนั้นทำได้ยากขึ้น ทำให้ลื่นยิ่งขึ้น

    2.อย่าเร่งเครื่องแรง ในการลุยพื้นทีน้ำท่วมนั้น ตามปกติของการลุยอุปสรรคทั้งหลายนั้น เรามักจะใช้กำลังเครื่องเดินเบามากกว่าใช้การเร่งเครื่องเพื่อผ่านอุปสรรค ซึ่งการเดินเบานี้เราเรียกว่า Walking Speed ซึ่งตามหลักการทำงานของเครื่องยนต์แล้ว ยิ่งเราเร่งเครื่องมาก เครื่องยนต์ก็จะยิ่งต้องการอากาศมากเพื่อไปใช้ผสมกับอัตราการจ่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และถ้าคุณลุยน้ำในระดับสูง แล้วเร่งเครื่องรอบสูงผลก็คือ เครื่องยนต์อาจจะดูดน้ำเข้าไป และท้ายที่สุดเครื่องยนต์อาจจะดับได้
    ข้อปฏิบัติขับรถลุยน้ำท่วม
    3.พยายามอย่าใช้เบรก เบรกรถนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญในการเดินทางและในพื้นที่น้ำท่วมนั้นพยายามลดการใช้เบรค แต่ให้ใช้แรงเฉื่อยของเครื่องยนต์ในการหยุดรถหรือชะลอความเร็ว ยิ่งเมื่อรวมกับมวลของน้ำแล้วนั้น เราก็จะพบว่า การลดความเร็วในพื้นที่น้ำท่วมนั้นสามารถทำได้ง่าย แม้ไม่ใช้เบรค ที่สำคัญอย่าวิ่งติดกับคันหน้า ควรเว้นระยะห่างสัก2 ช่วงคัน รถ เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะ ในกรณีที่คันหน้าอาจจะเสีย เราจะได้ไม่ติดท่ามกลางสายน้ำ

    4.พยายามอย่าใช้คลัทช์ คลัทช์นั้นเป้นตัวตัดต่อกำลังเคร่องยนต์ และ แม้คลัทช์จะเป็นอุปกรณ์ภายในที่อยู่ระหว่างท้ายเครื่องยนต์และชุดเกียร์ แต่ก ใครที่ขับรถเกียร์ธรรมดาในน้ำท่วมแล้วคิดจะต้องย้ำคลัทช์เพื่อให้ให้รถดับนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เนื่องจากทุกครั้งที่ย้ำคลัทช์ เครื่องจะเร่งแรงเพิ่มขึ้นทำให้ เครื่องอาจจะดูดน้ำเข้าไปได้ และอีกประการคือ น้ำมีแรงดันซึ่งอยู่ที่ล้อ ยิ่งน้ำลึก ยิ่งทำให้ยากต่อการหมุน ซึ่งหมายถึงคลัทช์จะต้องรับแรงในการเชื่อมต่อมากขึ้นจากเดิม ซึ่งผลคือสามารถทำให้คลัทช์รถนั้นไหม้ได้ ดังนั้นทางที่ดีเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสมก่อนลงน้ำ ครับ
    ข้อปฏิบัติขับรถลุยน้ำท่วม
    5.อย่าสร้างคลื่นน้ำ คลื่นน้ำคือตัวอันตรายที่สำคัญที่สุดในการทำให้รถนั้นสามารถดับกลางอากาศได้ระหว่างลุยน้ำท่วม และนับเป็นเรื่องสำคัญมากๆ การที่เราวิ่งรถในพื้นที่น้ำท่วมนั้น เราไม่ปฏิเสธว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทำให้ไม่เกิดคลื่นไม่ได้ แต่เราสามารถรถผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่ากับรถตัวเอง หรือรถคันอื่นๆก็ตาม และทางที่ดี เมื่อพบว่ามีรถสวน ก็ให้ลดความเร็วลง ถ้าเห็นว่ารถคันที่สวนมามาเร็ว ลิฟไฟส่งสัญญาณสักนิด ก็ดีใช่น้อย แต่หาก รถอีกคันมาแรงคืล่นมาสูงมาก ให้เราเร่งความเร็วเพิ่ม เพื่อทำให้เกิดคลื่นปะทะ ก่อนที่หน้ารถเราจะผ่านคลื่นน้ำนั้น อย่าเหวี่ยงรถหนี เพราะ คลื่นสามารถดันรถ อาจทำให้คว่ำได้โดยเฉพาะรถยกสูง

    6.อย่าเหวี่ยงรถกะทันหัน หลายครั้งที่เราขับรถในพื้นที่น้ำท่วมนั้น เราไม่ปฏิเสธว่า อาจจะมีเซอร์ไพร์ส กับหลุมที่เกิดขึ้นจากการกัดเซาะของน้ำ แต่ถ้าคุณเห็นในระยะกระชั้นชิดแล้วเตรียมที่จะหักหลบหนี อย่าทำโดยเด็ดขาด เพราะพื้นถนนมีแรงยึดเกาะต่ำ ยิ่งถ้าคุณมาเร็วมาก อาจจะเป็นต้นเหตุทำให้รถคว่ำเอาได้ง่ายๆ

    ทั้ง ข้อนี้เป็นคำแนะนำจากเราที่อยากให้ปฏิบัติ เมื่อขับรถลุยพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการขับรถลุยน้ำท่วมนั้น คือการเชื่อมั่นในรถ และเชื่อมั่นในตัวเอง อย่าหวั่นวิตกกับอุปสรรคบนเส้นทางข้างหน้าครับ

    วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

    7ขั้นตอนรับมือ การทำงาน ไม่เครียด


    พอพูดถึงเรื่องทำงาน ก็ต้องบวกเรื่องความเครียดเข้าไปด้วย ทุกวันนี้ งานมีแต่เรื่องเครียดๆ แต่จะทำอย่างไรที่เราจะไม่เครียดกับการทำงาน

     
    1. เตรียมพร้อมตั้งแต่ที่บ้าน
         นอกจาก นอนหลับให้เต็มอิ่ม วิธีผ่อนคลายง่ายๆคือ ควรเลือก สวมชุดทำงานที่มีเนื้อผ้านุ่มสบาย ไม่รัดแน่น หรือพอดีตัวจนอึดอัด ยิ่งเป็นเนื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติจะยิ่งดี และควรรับประทานอาหารเช้า เพราะเป็นมื้อสำคัญที่ช่วยให้สมองทำงานได้ดี
    2. สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน
         จัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ ไม่ปล่อยให้โต๊ะรก เพราะเห็นแล้วจะยิ่งทำให้จิตใจเครียด ไม่แจ่มใส พานรู้สึกว่าสะสางอย่างไรก็คงไม่เสร็จเสียที นอกจากนี้ควร สร้างบรรยากาศด้วยภาพ เช่น การติดภาพธรรมชาติ หรือภาพคนที่รัก รวมถึงสีที่เห็นแล้วสบายตา เช่น สีเขียว สีน้ำเงิน สีฟ้า ซึ่งช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น หรือการวางผลไม้สดไว้บนโต๊ะทำงาน ก็สามารถช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นและลดความเครียดได้อีกวิธีคือ ปลูกต้นไม้ไว้ใกล้ที่ทำงาน เพราะการได้เห็นสีเขียวของต้นไม้ก็ช่วยคลายเครียดได้ดี
    3. เตรียมกาย - ใจก่อนทำงาน เริ่มจาก
         - หลับตานิ่งๆ สัก 1 - 2 นาที และสลัดทิ้งภาพที่พบเจอมาตลอดเช้าไม่ว่าจะเป็นสภาพการจราจรที่แน่นขนัด ผู้คนแออัด หรือเหตุการณ์ไม่สบอารมณ์ใดๆ
         - หากเป็นไปได้ควรดื่มน้ำผลไม้สักแก้วก่อนเริ่มงาน จะช่วยให้แจ่มใสขึ้น
         - จัดลำดับงานว่าชิ้นไหนควรทำก่อน - หลัง นอกจากช่วยบริหารเวลา นการทำงานได้ ยังช่วยให้ทำงานได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
    4. การสร้างมุมมองที่ดีในการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น
         -ต้องทำงานอย่างมีวินัย คิด และแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบโดยยึดหลักเหตุและผล
         - เปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งที่มีโอกาสรู้ล่วงหน้าและไม่คาดคิดมาก่อน
         - เรียนรู้ที่จะให้อภัยผู้อื่นรวมถึงตัวเอง เพราะไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์
         - เรียนรู้ที่จะปล่อยวางปัญหาเล็กๆ ที่ยิ่งเก็บมาคิดจะยิ่งเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ
    5. วิธีรับมือกับความเครียด
         ในกรณีที่แม้คุณจะพยายามทำตามทุกขั้นตอนข้างต้นมาแล้ว แต่ความเคร่งเครียดบางอย่างที่อาจควบคุมไม่ได้ยังคอยตามมากดดันตัวคุณอีก ลองใช้วิธีต่อไปนี้
               -  หยุดสิ่งที่ทำให้เครียด แล้วเบี่ยงเบนความสนใจ ด้วยการฟังเพลง หรืออ่านหนังสืออ่านเล่น
               -  พักสั้น ๆ ด้วยการลุกไปดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำล้างหน้าหรือออกไปยืดเส้นยืดสายเพื่อผ่อนคลาย
               -  จดบันทึกทุกครั้งที่เครียด เพื่อตรวจเช็คความถี่และพิจารณาว่าปัญหาใดที่ทำให้เราเครียดได้บ่อยที่สุดเมื่อรู้แล้วจะได้หลีกเลี่ยงถูก
               -  หาตัวช่วยในการคิด อาจเป็นเพื่อนร่วมงานที่รู้จักเราดีหรือคนใกล้ชิดก็ได้ เนื่องจากการเล่าปัญหาจะช่วยให้เรายอมรับเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้น
    6. หาวันหยุดให้กับตัวเองบ้าง
         ถือเป็นสิ่งที่ลืมไม่ได้ เพราะเป็นการชาร์จพลังที่ดีเพื่อจะกลับมาเริ่มงานใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ควร ให้รางวัลกับชีวิตบ้าง เพราะการให้ของขวัญตัวเองจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและความกระตือรือร้นในการทำงานได้มากขึ้น
    7. ทิ้งทุกเรื่องของงานไว้ที่โต๊ะ
         และกลับบ้านด้วยใจที่โล่ง ไม่คั่งค้าง และควรระลึกไว้เสมอว่า เมื่อไรที่จิตใจเครียด ร่างกายก็จะเครียดตาม และทำให้ป่วยได้ง่ายขึ้น


                                                ที่มา : Thai-healthcare.com