วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

6 เรื่องไม่ควรทำ เมื่อขับลุยน้ำท่วม

สำหรับ วิกฤตการณ์น้ำท่วมระดับชาติครั้งใหญ่ในรอบหลายปี จนบางคนนั้นบอกว่า นี่เป็น "มหาภัยสึนามิน้ำจืด" ที่ทำให้หลายคนนั้นต้องตกอยู่ภายใต้ภัยพิบัติอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่หวั่นอันตรายในการเข้าไปช่วยพื้นที่ประสบภัย
เมื่อก่อนหน้านี้ เราเคยพูดถึงการขับรถลุยน้ำท่วมไปแล้วกับข้อปฏิบัติที่ควรจะทำเมื่อคุณต้องลุยเส้นทางน้ำท่วม แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังมีหลายคนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจในการขับรถลุยน้ำ แต่เอาเป็นว่าถ้าคุณกำลังต้องผ่านทางลุยน้ำท่วมระดับสูง สิ่งเหล่านี้คือข้อห้ามระหว่างขับขี่ในน้ำท่วม
ข้อปฏิบัติขับรถลุยน้ำท่วม
1.ห้ามขับรถเร็ว เส้นทางน้ำท่วมนั้นนับเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่ท้าทายอย่างมากสำหรับนักขับ และสิ่งที่สำคัญเมื่อคุณใช้เส้นทางที่เต้มไปด้วยน้ำนั้นคือห้ามขับรถเร็ว เหตุผลที่เราไม่แนะนำให่คุณขับรถเร็วนั้น ก็เพราะ 1.น้ำอาจจะกระเด็นใส่คนอื่นๆ หรือ เพื่อนร่วมทาง ซึ่งคุณอาจจะโดนสาบแช่งตามหลังได้ และ 2.เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ เนื่องจากน้ำท่วมนั้น อาจทำให้การเบรกให้หยุดนั้นมีประสิทธิภาพลดลง เช่นเดียวกับระยะเบรค ที่เกิดจากการสัมผัสผิวถนนนั้นทำได้ยากขึ้น ทำให้ลื่นยิ่งขึ้น

2.อย่าเร่งเครื่องแรง ในการลุยพื้นทีน้ำท่วมนั้น ตามปกติของการลุยอุปสรรคทั้งหลายนั้น เรามักจะใช้กำลังเครื่องเดินเบามากกว่าใช้การเร่งเครื่องเพื่อผ่านอุปสรรค ซึ่งการเดินเบานี้เราเรียกว่า Walking Speed ซึ่งตามหลักการทำงานของเครื่องยนต์แล้ว ยิ่งเราเร่งเครื่องมาก เครื่องยนต์ก็จะยิ่งต้องการอากาศมากเพื่อไปใช้ผสมกับอัตราการจ่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และถ้าคุณลุยน้ำในระดับสูง แล้วเร่งเครื่องรอบสูงผลก็คือ เครื่องยนต์อาจจะดูดน้ำเข้าไป และท้ายที่สุดเครื่องยนต์อาจจะดับได้
ข้อปฏิบัติขับรถลุยน้ำท่วม
3.พยายามอย่าใช้เบรก เบรกรถนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญในการเดินทางและในพื้นที่น้ำท่วมนั้นพยายามลดการใช้เบรค แต่ให้ใช้แรงเฉื่อยของเครื่องยนต์ในการหยุดรถหรือชะลอความเร็ว ยิ่งเมื่อรวมกับมวลของน้ำแล้วนั้น เราก็จะพบว่า การลดความเร็วในพื้นที่น้ำท่วมนั้นสามารถทำได้ง่าย แม้ไม่ใช้เบรค ที่สำคัญอย่าวิ่งติดกับคันหน้า ควรเว้นระยะห่างสัก2 ช่วงคัน รถ เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะ ในกรณีที่คันหน้าอาจจะเสีย เราจะได้ไม่ติดท่ามกลางสายน้ำ

4.พยายามอย่าใช้คลัทช์ คลัทช์นั้นเป้นตัวตัดต่อกำลังเคร่องยนต์ และ แม้คลัทช์จะเป็นอุปกรณ์ภายในที่อยู่ระหว่างท้ายเครื่องยนต์และชุดเกียร์ แต่ก ใครที่ขับรถเกียร์ธรรมดาในน้ำท่วมแล้วคิดจะต้องย้ำคลัทช์เพื่อให้ให้รถดับนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เนื่องจากทุกครั้งที่ย้ำคลัทช์ เครื่องจะเร่งแรงเพิ่มขึ้นทำให้ เครื่องอาจจะดูดน้ำเข้าไปได้ และอีกประการคือ น้ำมีแรงดันซึ่งอยู่ที่ล้อ ยิ่งน้ำลึก ยิ่งทำให้ยากต่อการหมุน ซึ่งหมายถึงคลัทช์จะต้องรับแรงในการเชื่อมต่อมากขึ้นจากเดิม ซึ่งผลคือสามารถทำให้คลัทช์รถนั้นไหม้ได้ ดังนั้นทางที่ดีเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสมก่อนลงน้ำ ครับ
ข้อปฏิบัติขับรถลุยน้ำท่วม
5.อย่าสร้างคลื่นน้ำ คลื่นน้ำคือตัวอันตรายที่สำคัญที่สุดในการทำให้รถนั้นสามารถดับกลางอากาศได้ระหว่างลุยน้ำท่วม และนับเป็นเรื่องสำคัญมากๆ การที่เราวิ่งรถในพื้นที่น้ำท่วมนั้น เราไม่ปฏิเสธว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทำให้ไม่เกิดคลื่นไม่ได้ แต่เราสามารถรถผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่ากับรถตัวเอง หรือรถคันอื่นๆก็ตาม และทางที่ดี เมื่อพบว่ามีรถสวน ก็ให้ลดความเร็วลง ถ้าเห็นว่ารถคันที่สวนมามาเร็ว ลิฟไฟส่งสัญญาณสักนิด ก็ดีใช่น้อย แต่หาก รถอีกคันมาแรงคืล่นมาสูงมาก ให้เราเร่งความเร็วเพิ่ม เพื่อทำให้เกิดคลื่นปะทะ ก่อนที่หน้ารถเราจะผ่านคลื่นน้ำนั้น อย่าเหวี่ยงรถหนี เพราะ คลื่นสามารถดันรถ อาจทำให้คว่ำได้โดยเฉพาะรถยกสูง

6.อย่าเหวี่ยงรถกะทันหัน หลายครั้งที่เราขับรถในพื้นที่น้ำท่วมนั้น เราไม่ปฏิเสธว่า อาจจะมีเซอร์ไพร์ส กับหลุมที่เกิดขึ้นจากการกัดเซาะของน้ำ แต่ถ้าคุณเห็นในระยะกระชั้นชิดแล้วเตรียมที่จะหักหลบหนี อย่าทำโดยเด็ดขาด เพราะพื้นถนนมีแรงยึดเกาะต่ำ ยิ่งถ้าคุณมาเร็วมาก อาจจะเป็นต้นเหตุทำให้รถคว่ำเอาได้ง่ายๆ

ทั้ง ข้อนี้เป็นคำแนะนำจากเราที่อยากให้ปฏิบัติ เมื่อขับรถลุยพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการขับรถลุยน้ำท่วมนั้น คือการเชื่อมั่นในรถ และเชื่อมั่นในตัวเอง อย่าหวั่นวิตกกับอุปสรรคบนเส้นทางข้างหน้าครับ

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

7ขั้นตอนรับมือ การทำงาน ไม่เครียด


พอพูดถึงเรื่องทำงาน ก็ต้องบวกเรื่องความเครียดเข้าไปด้วย ทุกวันนี้ งานมีแต่เรื่องเครียดๆ แต่จะทำอย่างไรที่เราจะไม่เครียดกับการทำงาน

 
1. เตรียมพร้อมตั้งแต่ที่บ้าน
     นอกจาก นอนหลับให้เต็มอิ่ม วิธีผ่อนคลายง่ายๆคือ ควรเลือก สวมชุดทำงานที่มีเนื้อผ้านุ่มสบาย ไม่รัดแน่น หรือพอดีตัวจนอึดอัด ยิ่งเป็นเนื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติจะยิ่งดี และควรรับประทานอาหารเช้า เพราะเป็นมื้อสำคัญที่ช่วยให้สมองทำงานได้ดี
2. สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน
     จัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ ไม่ปล่อยให้โต๊ะรก เพราะเห็นแล้วจะยิ่งทำให้จิตใจเครียด ไม่แจ่มใส พานรู้สึกว่าสะสางอย่างไรก็คงไม่เสร็จเสียที นอกจากนี้ควร สร้างบรรยากาศด้วยภาพ เช่น การติดภาพธรรมชาติ หรือภาพคนที่รัก รวมถึงสีที่เห็นแล้วสบายตา เช่น สีเขียว สีน้ำเงิน สีฟ้า ซึ่งช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น หรือการวางผลไม้สดไว้บนโต๊ะทำงาน ก็สามารถช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นและลดความเครียดได้อีกวิธีคือ ปลูกต้นไม้ไว้ใกล้ที่ทำงาน เพราะการได้เห็นสีเขียวของต้นไม้ก็ช่วยคลายเครียดได้ดี
3. เตรียมกาย - ใจก่อนทำงาน เริ่มจาก
     - หลับตานิ่งๆ สัก 1 - 2 นาที และสลัดทิ้งภาพที่พบเจอมาตลอดเช้าไม่ว่าจะเป็นสภาพการจราจรที่แน่นขนัด ผู้คนแออัด หรือเหตุการณ์ไม่สบอารมณ์ใดๆ
     - หากเป็นไปได้ควรดื่มน้ำผลไม้สักแก้วก่อนเริ่มงาน จะช่วยให้แจ่มใสขึ้น
     - จัดลำดับงานว่าชิ้นไหนควรทำก่อน - หลัง นอกจากช่วยบริหารเวลา นการทำงานได้ ยังช่วยให้ทำงานได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
4. การสร้างมุมมองที่ดีในการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น
     -ต้องทำงานอย่างมีวินัย คิด และแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบโดยยึดหลักเหตุและผล
     - เปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งที่มีโอกาสรู้ล่วงหน้าและไม่คาดคิดมาก่อน
     - เรียนรู้ที่จะให้อภัยผู้อื่นรวมถึงตัวเอง เพราะไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์
     - เรียนรู้ที่จะปล่อยวางปัญหาเล็กๆ ที่ยิ่งเก็บมาคิดจะยิ่งเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ
5. วิธีรับมือกับความเครียด
     ในกรณีที่แม้คุณจะพยายามทำตามทุกขั้นตอนข้างต้นมาแล้ว แต่ความเคร่งเครียดบางอย่างที่อาจควบคุมไม่ได้ยังคอยตามมากดดันตัวคุณอีก ลองใช้วิธีต่อไปนี้
           -  หยุดสิ่งที่ทำให้เครียด แล้วเบี่ยงเบนความสนใจ ด้วยการฟังเพลง หรืออ่านหนังสืออ่านเล่น
           -  พักสั้น ๆ ด้วยการลุกไปดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำล้างหน้าหรือออกไปยืดเส้นยืดสายเพื่อผ่อนคลาย
           -  จดบันทึกทุกครั้งที่เครียด เพื่อตรวจเช็คความถี่และพิจารณาว่าปัญหาใดที่ทำให้เราเครียดได้บ่อยที่สุดเมื่อรู้แล้วจะได้หลีกเลี่ยงถูก
           -  หาตัวช่วยในการคิด อาจเป็นเพื่อนร่วมงานที่รู้จักเราดีหรือคนใกล้ชิดก็ได้ เนื่องจากการเล่าปัญหาจะช่วยให้เรายอมรับเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้น
6. หาวันหยุดให้กับตัวเองบ้าง
     ถือเป็นสิ่งที่ลืมไม่ได้ เพราะเป็นการชาร์จพลังที่ดีเพื่อจะกลับมาเริ่มงานใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ควร ให้รางวัลกับชีวิตบ้าง เพราะการให้ของขวัญตัวเองจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและความกระตือรือร้นในการทำงานได้มากขึ้น
7. ทิ้งทุกเรื่องของงานไว้ที่โต๊ะ
     และกลับบ้านด้วยใจที่โล่ง ไม่คั่งค้าง และควรระลึกไว้เสมอว่า เมื่อไรที่จิตใจเครียด ร่างกายก็จะเครียดตาม และทำให้ป่วยได้ง่ายขึ้น


                                            ที่มา : Thai-healthcare.com