วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความแตกต่างระหว่างWilress และWI-FI

ความแตกต่างระหว่างWilress และWI-FI

Wilress WI-FI คืออะไร ?
WIFI หรือ Wirelss หมายถึง เครือข่ายไร้สาย มักใช้กับระบบเครือข่าย
ไม่ว่าจะเป็นในองค์กร หรือในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

ระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless LAN : WLAN) หมายถึง
เทคโนโลยีที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง
หรือกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันได้
ร่วมถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน โดยปราศจากการใช้สายสัญญาณในการเชื่อมต่อ
แต่จะใช้คลื่นวิทยุเป็นช่องทางการสื่อสารแทน การรับส่งข้อมูลระหว่างกัน
จะผ่านอากาศ ทำให้ไม่ต้องเดินสายสัญญาณ และติดตั้งใช้งานได้สะดวกขึ้น


WIFI หรือ Wirelss ใช้แม่เหล็กไฟฟ้าผ่านอากาศ เพื่อรับส่งข้อมูลข่าวสาร
ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่าย
โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้อาจเป็นคลื่นวิทย (Radio) หรืออินฟาเรด (Infrared) ก็ได้

การสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สายมีมาตราฐาน IEEE802.11
เป็นมาตราฐานกำหนดรูปแบบการสื่อสาร ซึ่งมาตราฐานแต่ละตัวจะบอกถึงความเร็ว
และคลื่นความถี ่สัญญาณที่แตกต่างกันในการสื่อสารข้อมูล เช่น 802.11b และ 802.11g
ที่ความเร็ว 11 Mbps และ 54 Mbps ตามลำดับ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมศึกษาได้จาก
มาตราฐาน IEEE802.11 และขอบเขตของสัญญาณคลอบคลุมพื้นที่ประมาณ 100 เมตร
ในพื้นที่โปรง และประมาณ 30 เมตร ในอาคาร ซึ่งระยะทางของสัญญาณมีผลกระทบ
จากสิ่งรอบข้างหลายๆ อย่าง เช่น โทรศัพท์มือถือ ความหนาของกำแพง
เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ต่างๆ รวมถึงร่างกายมนุษย์ด้วยเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อการใช้งานเครือข่ายไร้สายทั ้งสิ้น

การเชื่อมเครือข่ายไร้สาย มี 2 รูปแบบ คือแบบ Ad-Hoc และ Infrastructure
รายละเอียดเพิ่มเติมศึกษาได้จาก รูปแบบเครือข่ายไร้สาย การใช้งานเครือข่ายไร้สาย
ของผู้ใช้บริการทั่วไปจะเป็นแบบ Infrastructure คือมีอุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Access Point)
ของผู้ให้บริการเป็นผู้ติดตั้งและกระจายสัญญาณ ให้ผู้ใช้ทำการเชื่อมต่อ
โดยผู้ใช้บริการจะต้องมีอุปกรณ์รับส่งสัญญาณขอเรียกว่า "การ์ดแลนไร้สาย"
เป็นอุปกรณ์รับส่งสัญญาณ ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณจากเครื่องคอมพิวเตอร์ผู้ใช้
ไป Access Point ของผู้ให้บริการ

สรุปการ WIFI หรือ Wirelss ป็นการเชื่อมต่อ เครือข่ายของเครื่องคอมพิวเตอร์
เข้าสู่ระบบเครือข่าย เหมือนกับระบบแลน (LAN) มีสายปกติ
แตกต่างที่อุปกรณ์ทางกายภาพในการเชื่อมต่อเครือข่ายไม่ต้องใช้สายสัญญาณแต่อย่างใด
โดยการใช้งานเครือข่ายไร้สายสามารถใช้บริการต่างๆ
บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เหมือนเครือข่ายมีสายได้ป กติ
เว้นแต่ว่าผู้ดูแลระบบเครือข่ายนั้นๆ จะปิดบริการบางบริการเพื่อความปลอดภัย
ของเครือข่ายได ้เช่นกัน ซึ่งการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายช่วยให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้น
ประหยัดค่าสายสัญญาณ และใช้งานได้ทุกที่ที่สัญญาณเครือข่ายไร้สายไปถึง

WIFI คืออะไร

Wi-Fi ก็คือองค์กรหนึ่ง ที่ทดสอบผลิตภัณฑ์ Wireless Lan หรือระบบ Network
แบบไร้สาย ภายใต้เทคโนโลยีการสื่อสาร ภายใต้มาตราฐาน IEEE 802.11
ว่าอุปกรณ์ทุกตัวซึ่งต่างยี่ห้อกันนั้นมันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่มีปัญหา
หากว่าอุปกรณ์ตัวนั้นมันผ่านตามมาตราฐานเขาก็จะปั๊ม ตรา Wi-Fi certified
ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นสามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ตัวอื่นที่มีตรา
Wi-Fi certified นี้ได้เช่นกัน แต่ทำไปทำมามันกลายเป็นคำศัพท์
สำหรับ อุปกรณ์ Lan ไร้สาย ไปโดยปริยาย จนบางคนก็เรียกกันติด




สรุปครับWireless เป็นคำกว้างๆ ที่บ่งบอกว่า ไม่ได้ใช้สายในการเชื่อมต่อ
ดังนั้นอะไรที่ไม่ได้ใช้สาย ก็เรียก ไวร์เลสได้หมด

ส่วน WI-FI เป็นชื่อทางการค้าของ IEEE802.11 ซึ่งกำหนดโปรโตรคอล
แบบไร้สายชนิดนึงที่เป็นที่นิยมใช้ในการเชื่อมต่อไร้สายระหว่างอุปกรณ ์คอมพิวเตอร์

wireless คือลักษณะของการใช้งานอุปกรณ์ด้านสื่อสารโทรคมนาคม
แปลตรงตัวว่าไร้สาย ฉะนั้นอุปกรณ์อะไรก็ตามที่ติดต่อสื่อสารกันโดยไม่ใช้
สายสัญญาณ ถือว่าอุปกรณ์นั้นเป็น wireless เหมือนกัน

Credit : http://www.tlcthai.com/webboard/view...=5&post_id=210

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Mind Map & วิธีการเขียน Mind Ma

Mind Map คืออะไร

Mind Map หรือ แผนที่ความคิด เป็นวิธีการบันทึกความคิดเพื่อให้เห็นภาพของความคิดที่หลากหลายมุมมอง ที่กว้าง และที่ชัดเจน โดยยังไม่จัดระบบระเบียบความคิดใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการเขียนตามความคิด  ที่เกิดขึ้นขณะนั้น การเขียนมีลักษณะเหมือนต้นไม้แตกกิ่งก้านสาขาออกไปเรื่อยๆ ทำให้สมองได้คิดได้ทำงานตามธรรมชาติ และมีการจินตนาการกว้างไกล 
แผนที่ความคิด ยังเป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการบันทึกความคิดของการอภิปรายกลุ่ม หรือการระดมความคิด โดยให้สมาชิกทุกคนเสนอความคิดเห็น และวิทยากรจะทำการจดบันทึกด้วยคำสั้นๆ คำโตๆ ให้ทุกคนมองเห็น พร้อมทั้งโยงเข้าหากิ่งก้านที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อรวบรวมความคิดที่หลากหลายของทุกคน ไว้ในแผ่นกระดาษแผ่นเดียว ทำให้ทุกคนได้เห็นภาพความคิดของผู้อื่นได้ชัดเจน และเกิดความคิดใหม่ต่อไปได้

วิธีการเขียน Mind Map

การเขียน Mind Map ให้ใช้กระดาษแผ่นเดียว ใช้สีสันหลากหลาย  ใช้โครงสร้างตามธรรมชาติที่แผ่กระจายออกมาจุดศูนย์กลาง ใช้เส้นโยง มีเครื่องหมาย สัญลักษณ์ และรูปภาพที่ผสมผสานร่วมกันอย่างเรียบง่าย สอดคล้องกับการทำงานตามธรรมชาติของสมอง โดยมีวิธีเขียนดังนี้
1. เตรียมกระดาษเปล่าที่ไม่มีเส้นบรรทัด โดยวางกระดาษในแนวนอน
2. วาดภาพหรือเขียนข้อความที่สื่อถึงเรื่องที่จะทำไว้กลางหน้ากระดาษ โดยใช้สีอย่างน้อย 3 สี และต้องไม่ตีกรอบด้วยรูปทรงเรขาคณิต
3. คิดถึงหัวเรื่องสำคัญที่เป็นส่วนประกอบของเรื่องที่ทำ Mind Map โดยให้เขียนเป็นคำ  ที่มีลักษณะเป็นหน่วย หรือเป็นคำสำคัญ (Key Word) สั้น ๆ ที่มีความหมาย บนเส้น ซึ่งแต่ละเส้นจะต้องแตกออกมาจากศูนย์กลางไม่ควรเกิน 8 กิ่ง
4. แตกความคิดของหัวเรื่องสำคัญแต่ละเรื่องในข้อ 3 ออกเป็นกิ่ง ๆ หลายกิ่ง โดยเขียนคำหรือวลีบนเส้นที่แตกออกไป ลักษณะของกิ่งควรเอนไม่เกิน 60 องศา
5. แตกความคิดรองลงไปที่เป็นส่วนประกอบของแต่ละกิ่ง ในข้อ 4 โดยเขียนคำหรือวลีเส้นที่แตกออกไป ซึ่งสามารถแตกความคิดออกไปเรื่อยๆ
6. การเขียนคำ ควรเขียนด้วยคำที่เป็นคำสำคัญ (Key Word) หรือคำหลักที่มีความหมายชัดเจน
7. คำ วลี สัญลักษณ์ หรือรูปภาพใดที่ต้องการเน้น อาจใช้วิธีการทำให้เด่น เช่น การตีกรอบ
8. ตกแต่ง Mind Map ที่เขียนด้วยความสนุกสนานทั้งภาพและแนวคิดที่เชื่อมโยงต่อกัน
ขอบคุณ : http://www.dpu.ac.th/techno/page.php?id=3335

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คารโว-นิวาโต

คารโว-นิวาโต
คารโว-นิวาโต เป็นเนื้อหาในมงคลสูตรข้อที่ ๒๒ และ ๒๓ เป็นหัวใจแห่งการอยู่ร่วมกันนะครับ ไม่ว่าจะในครอบครัวหรือในที่ทำงาน
ในสังคมทั่วไป เราจะพบเหตุแห่งความกระด้างมาจาก
- การหลงหัวโขนที่สวมใส่
- การขาดสำนึกในการทำงานเป็นทีม
- การทำงานเพื่ออามิส ( ลาภ-ยศ-สรรเสริญ) 
- การขาดความชื่นชมพฤติกรรมเล็กๆ 
น้อยๆ ในกันและกัน
- ความมีอัตตาตัวตนของตัวเอง
- ความเป็นคนถือสาง่าย ฯลฯ

ครับ ความกระด้าง มีได้ทั้งในคนดีและคนไม่ดี ทั้งในคนที่มีการศึกษาและไร้การศึกษา
เปรียบเทียบเป็นภาษากวี ก็จะบอกว่า มันแทรกอยู่ทั่วทุกอณูแห่งจักรวาลเลยทีเดียว! 
" คารโว" คือ การเคารพในกันและกัน เคารพในความคิด เคารพในการกระทำ เคารพในความเป็นชีวิต
ครับ แม้ความคิดจะแตกต่าง แม้จะมาจากคนละพวก แม้จะเป็นศัตรูก็ตาม
" นิวาโต" ความอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนโยนต่อสรรพสิ่งรอบข้าง
อย่าว่าแต่อ่อนน้อมต่อความคิดของผู้อื่น แม้การดำรงชีวิตของเราก็จะต้องเป็นไปเพื่อความอ่อนน้อมถ่อมตน อันคือความเรียบง่าย ! 
เพราะชีวิตมิใช่อยู่ได้ตามลำพัง แต่ต้องอาศัยกลไกต่างๆ ในสังคมมาแบ่งเบา มาค้ำชูเกื้อหนุน
ทุกฐานะอาชีพมีบุญคุณต่อเรา
ทุกคนในหน่วยงานมีบุญคุณต่อเรา
เขาถึงบอกว่า
 ยิ่งเข้าใจโลก เราจะยิ่งถ่อมตน
ยิ่งเข้าใจโลก เราจะยิ่งเล็กลง
และยิ่งเข้าใจโลก เราจะยิ่งเอ็นดูสรรพชีวิต

เมื่อพระราหุลได้รับ" กรรมฐาน" จาก พระพุทธองค์" เธอจงทำตนเหมือนแผ่นดิน" ก็นำไปคิดตรึกตรอง พลันประจักษ์แจ้ง เป็นพระอรหันต์ 
" แผ่นดินไม่หลงใหลได้ปลื้ม แม้ใครจะสรรเสริญเยินยอ จะนำสิ่งดีๆ มาให้"
" แผ่นดินไม่เศร้าโศกเสียใจ แม้ใครจะร้ายจะกักขฬะ ! "
" อัตตาตัวตน" ของคนเรา ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ต้องถือเป็นโจทย์ ข้อใหญ่ ทีเดียวนะครับ ที่จะต้องเรียนรู้และเอาชนะ
ถามว่า "วันนี้ ใครบ้างที่ตั้งใจฝึกลดละตัวตน ?" ครับ ก็คงจะงงกัน มีด้วยหรือวิชานี้ ! 
แต่ในทัศนะของนักปฏิบัติธรรม เขาจัดกิเลสตัวนี้เป็น "ตระกูลโทสะ"
ทุกครั้งที่ ไม่ถูกใจ -ไม่สมใจ ความร้อนจะค่อยเพิ่มอุณหภูมิสูงขึ้น จากร้อนนิดสู่ร้อนน้อย พุ่งขึ้นไปเป็นร้อนมาก
รู้เท่าทันอารมณ์ จับ "โทสะ" ทัน เราก็กำลังฝึกปฏิบัติเป็นพระอาริยะกันแล้วนะครับ! 
คารโว-นิวาโต มิใช่เกิดขึ้นเฉยๆ แต่ต้องรดน้ำพรวนดิน ฝึกฝน ประสบการณ์ของบางคน ที่ทำได้ทันที ต้องยอมรับว่ามี"บารมีเก่า"
เพราะไม่มีบารมีเก่า วันนี้จึงทำได้ยาก
แต่ถ้าไม่ทำวันนี้ พรุ่งนี้ก็จะเหมือนวันวาน! 
ครับ เราจะต้องเปลี่ยนทั้งความคิดและการกระทำเพื่อไปสู่เป้าหมายจึงจะสำเร็จ

๑. บางคนจะดี จะยอมให้คนอื่นก็เพราะ ผู้นั้นยังมีประโยชน์ต่อเขาในเรื่องส่วนตัว
บางคนยอมเพราะเขามีประโยชน์ต่อสังคม ต่อส่วนรวม
บางคนยอมเพราะเขามีชีวิต เคารพนับถือในคุณค่าของชีวิต
ท่านผู้อ่านอยู่ในระดับไหนครับ? 
การให้เกียรติ ให้ความเคารพ ให้คุณค่า ไม่จำเป็นต้องรอให้ฝ่ายตรงข้ามให้ก่อน ไม่จำเป็นเราให้ของเราก็พอ ไม่จำเป็นต้องให้สัญญาต่าง ตอบแทน ทำด้านเดียวก็ถือว่าสมบูรณ์แล้ว

๒. ความแตกต่างคือความสวยงาม แต่ บางคนกลับเห็นเป็นศัตรู! 
เพราะเหตุที่ภูมิปัญญาของคนเราแตกต่างกัน จึงมีข้อคิดเห็นที่หลากหลาย การหัดฟังความคิดของผู้อื่น การหัดยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น จึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่ทำได้ยาก
อย่างไรก็ตาม เส้นทางชีวิตต้องผ่านด่านนี้ ตราบใดที่เรายังต้องทำงานร่วมกับคนอื่นๆ อยู่
" ปรโตโฆสะ" เป็นความใจกว้างของจิตใจ ที่เคารพนับถือความคิดของทุกคนที่แตกต่าง ไม่เกลียด ไม่โกรธแค้น
ถ้าเขาใหญ่ บางทีก็ต้องยอมถอย ถ้าเขาเท่ากับเรา ก็ต้องใช้มติหรือเสียงส่วนมากเป็นตัวตัดสิน ( บางทีก็ยังถอยให้) 
แต่ถ้าเขาเล็กกว่าเรา ก็ต้องระวังพฤติกรรม หักด้ามพร้าด้วยเข่า เราชนะ แต่อย่าให้เขาบาดเจ็บทางจิตใจ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีครับ

๓. การหัดประทับใจพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ของคนทำงานที่อยู่รอบตัวเรา จะทำให้จิตใจของเราอ่อนโยนและอยู่อย่างมีความสุข ไม่จับผิด ไม่เพ่งโทษ ไม่แหนงหน่ายเพื่อนร่วมงาน
ที่จริงแล้ว ในหมู่นักปฏิบัติธรรม ตัวจับผิดจะลดลงโดยปริยาย อันเนื่องมาจากการ" จับผิดตัวเอง" เพราะยิ่งจับผิดตัวเอง ความถือสา ก็จะยิ่งลดลง เป็นปฏิภาคผกผันกันครับ
ในทางตรงข้ามจะเกิดจิตเห็นใจในความเป็นตัวของเขา นี้คือธรรมชาติของการปฏิบัติธรรม
๓ ข้อเบื้องต้นถือเป็นหัวใจแห่งการลดละอัตตาตัวตน ที่รุ่มร้อนจะผ่อนคลาย
ทฤษฎีเรามีเยอะ แต่ต้องลงมือปฏิบัติจึงจะเห็นผล แนวทางการพัฒนากลุ่มหรือองค์กรได้เขียนมาแล้ว ๓ ครั้งติดต่อกัน ฉบับหน้าจะคุยกันในเรื่องอื่นๆ ต่อไปนะครับ

ขอบคุณ :