วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นอาสาพัฒนา ประจำปี ๒๕๕๕

เศรษฐกิจสร้างสรรค์ คือทรัพย์สินทางปัญญา เป็นเส้นทางเดินที่ดีสู่อนาคต

เศรษฐกิจสร้างสรรค์ คือทรัพย์สินทางปัญญา เป็นเส้นทางเดินที่ดีสู่อนาคต

ในปี 2001 จอห์น ฮอกิ้น (John Howkins) กูรูด้านเศรษฐกิจ ชาวอังกฤษ ได้เผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม และเขายังเป็นเจ้าของผลงานหนังสือ Creative Economy : How people make money from ideas : เขามั่งคั่งจากความคิดกันอย่างไร

เศรษฐกิจสร้างสรรค์คืออะไร สำคัญอย่างไรกับ ประเทศไทย และเกี่ยวข้องอย่างไรกับชีวิตคุณ เช่น.
- เมื่อลิขสิทธิ์กลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญที่สุดของสหรัฐอเมริกา
- และอุตสาหกรรมดนตรีของอังกฤษสร้างรายได้สูงกว่าอุตสาหกรรมยานยนต์เหล็ก หรือสิ่งทอ
- รายชื่อสิทธิบัตรใหม่เข้าไปปรากฏในตารางความสามารถด้านการแข่งขันของชาติต่างๆ

ปรากฏการณ์เหล่านี้นอกจากจะสะกิดให้คิดว่าการสร้างความมั่งคั่งของประเทศซึ่งอยู่บนพื้นฐานของอุตสาหกรรมการผลิตนั้นไม่เพียงพอเสียแล้วมันยังแสดงให้เห็นถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจอันมหาศาลของความคิด สร้างสรรค์
จอห์น ฮอกิ้น ชาวอังกฤษ ได้ให้คำนิยามของคำว่า เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ว่า หมายถึง
แนวคิดที่จะสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งต่อภาคการผลิต บริการ ภาคการขาย หรือแม้แต่อุตสาหกรรมบันเทิง เป็นแนวคิดที่อยู่บนการทำงานแบบใหม่ ที่มีปัจจัยหลักมาจากความสามารถ และทักษะพิเศษของบุคคล "

เป็นระบบเศรษฐกิจใหม่ที่มีกระบวนการ นำเอาวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีมารวมเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดอุตสาหกรรมความคิดสร้างสรรค์ (Creative Industry) หรือ อุตสาหกรรมเชิงวัฒนธรรม (Culture Industry)
หากจะนำโมเดล Creative Economy - CE มาใช้ให้ประสบความสำเร็จ จะต้องอาศัยองค์ประกอบที่เป็นตัวเร่งให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งหลักการ 3 ข้อ ของจอห์น ฮอกิ้น ประกอบ ไปด้วย……
1. ความเชื่อที่ว่า ทุกคนสามารถมีความคิดสร้างสรรค์ (Everyone needs Creativity or Everyone can be Creativity ) เพราะเชื่อว่า คนเราทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์อยู่ในตัวตั้งแต่เด็กๆ
2. สร้างสรรค์ต้องการอิสรภาพ ( Creativity needs Freedom ) ทั้งนี้ในสังคมที่สนับสนุนให้คนแสดงความคิด และสามารถแสดงออกได้ จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการศึกษา ฝึกฝน และเรียนรู้ นอกจากนี้
3. อิสรภาพความคิดสร้างสรรค์ต้องการตลาด ( Freedom needs markets ) ทั้งอิสระของความคิดสร้างสรรค์ก่อให้เกิดตลาด อันเนื่องมาจากความคิดสร้างสรรค์
ได้มีการค้นคว้า ทำเป็นข้อมูลที่มูลค่าราคา และสามารถแลกเปลี่ยนนำไปใช้ประโยชน์ได้นั่นเอง.
เศรษฐกิจสร้างสรรค์ แท้จริงคืออะไร
โดย ดร.ณรงค์ชัย  อัครเศรณี
ประธานกรรมการบริหาร สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)
การจะทำอะไรก็ตาม ถ้ามุ่งมั่นตั้งใจคิดอย่างสร้างสรรค์และทำให้ดีที่สุด ผมเชื่อว่า ผลลัพธ์ย่อมมีดีอยู่บ้าง
อย่างช่วงสองเดือนมานี้ สังคมไทยเริ่มตื่นตัวและกำลังทำความเข้าใจกับกระแสนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ( Creative Economy ) กันมากขึ้น หลังจากรัฐบาลประกาศเดินหน้าและสานต่อ พร้อมผลักดันให้เรื่องนี้เป็น วาระแห่งชาติ
เพราะเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มีความสำคัญมากต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งยังเป็นประโยชน์ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไปข้างหน้า ดูจากตัวเลขการส่งออกอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ของประเทศไทยเมื่อปี 2548 จะเห็นว่า เรามีส่วนแบ่งในตลาดโลกคิดเป็นร้อยละ 1.3 จัดอยู่ในอันดับที่ 17 ของโลก และในช่วงปี 2543-2548 พบว่า ไทยมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 4 ของเอเชีย แสดงว่า อนาคตของประเทศไทยยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้มากขึ้น จากครีเอทีฟ อีโคโนมี
รัฐบาลจึงพยายามอย่างมากทั้งในเชิงลึกและเชิงกว้าง เพื่อที่จะสนับสนุนให้ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมองเห็น โอกาสร่วมกันในทิศทางเดียวกัน โดยตั้งเป้าไว้ว่า ในอีก 3 ปีนับจากนี้ อุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยจะต้องเติบโตขึ้นเป็น 2 เท่า หรือประมาณ 1.8 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 20 % ของค่า GDP ในปี 2555
เมื่อเราเดินมาถึงจุดนี้ บางคนอาจสงสัย บางคนอาจไม่เข้าใจ บางคนอาจสับสน บางคนอาจรู้แต่ยังไม่เห็นภาพ ไม่เห็นรูปธรรม ว่าแท้จริงแล้ว เศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่พูด ๆ กันอยู่นั้นคือ อะไรกันแน่ ?
แล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์
แท้จริงแล้วเศรษฐกิจสร้างสรรค์อยู่รอบตัวมนุษย์นั่นเอง อยู่ที่ว่าเราจะหยิบหรือเลือกใช้สิ่งนั้นในจุดไหน เวลาใด และจะเพิ่ม มูลค่าได้อย่างไร
ดังนั้น ในความหมายที่ง่ายที่สุดของ Creative Economy  คือการสร้างมูลค่าที่เกิดจากความคิดของมนุษย์ ตามคำนิยามของ  John Howkins  ผู้แต่งหนังสือ Creative Economy : How People Make Money from Ideas และ UNCTAD ในปี ค.ศ.2008 (พ.ศ.2551) สามารถสรุปแนวคิดนี้ได้ว่า เป็นวิธีการสร้างผลิตภัณฑ์ด้วยการใช้สินทรัพย์ที่เป็นตัวเงิน ( Capital Assets) ในปริมาณที่น้อย แต่ใช้สินทรัพย์ทางความคิด (Intellectual Assets ) ในปริมาณที่มาก
พูดให้ง่ายขึ้น ต้นทุนหลักมาจาก ไอเดียหรือความคิดของเรานั่นเอง แต่เราจะต้องคิดให้ต่าง คิดให้เด่น โดยไม่ทิ้งกลิ่นอายความเป็นตัวตนของเรา
การที่รัฐชูธงเรื่องครีเอทีฟ อีโคโนมี ก็เสมือนการประกาศลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา (Intellectual Infrastructure) เพื่อเป็นแหล่งทุนทางปัญญาสำหรับคนไทยในการแสวงหาความรู้และเสริมทักษะอย่างเป็นจริงเป็นจัง เท่ากับเป็นการกระจายโอกาสให้คนไทยทั้งประเทศได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าหรือผู้บริโภคเป้าหมายได้ตรงจุดที่สุด
จริงๆ แล้ว ผมมีตัวอย่างของครีเอทีฟ อีโคโนมี ในหลากหลายรูปแบบ แต่ถ้าจะหยิบยกสิ่งใกล้ตัวที่มองเห็นได้ทั่วไป ผมคิดว่า ขนมใส่ไส้ที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ(TCDC) เลือกใช้เป็นโลโก้ตัวเองนั้น น่าจะเหมาะและเข้าใจได้ง่ายที่สุด  ขนมใส่ไส้เป็นขนมไทยๆ ที่ห่อด้วยใบตอง กลัดด้วยไม้กลัด ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของความคิดสร้างสรรค์และงานออกแบบที่เป็นต้นฉบับของไทย และเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด ซึ่งน่าเสียดายมาก ถ้าสิ่งเหล่านี้คนไทยด้วยกันเองกลับมองข้ามไป
 ขนมใส่ไส้ คือความชาญฉลาดระหว่างความคิดสร้างสรรค์และงานออกแบบที่มีมาเนิ่นนาน เป็นการผสมผสานและพัฒนาด้วยภูมิปัญญาคนไทยจนทำให้ขนมมีรสอร่อย รูปทรงแปลกเก๋ไก๋ หาที่ไหนไม่มีในโลก นอกจากรสชาติแล้ว บรรจุภัณฑ์ที่ใช้หรือใบตองที่ห่อขนมก็มาจากธรรมชาติ ซึ่งคนไทยใช้ความละเมียดละไม ทั้งความคิดและการประดิษฐ์ ทำให้ขนมมีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร เป็นความงดงามที่เกิดขึ้นจากความได้เปรียบของความแตกต่างทางวัฒนธรรมและทรัพยากรของประเทศเราเอง เมื่อมองลึกไปถึงวัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์ ศิลปะ สถาปัตยกรรม วรรณกรรม ดนตรี ฯลฯ เราอาจจะค้นพบความหมายดีๆ ของสิ่งเหล่านี้ก็ได้ เมื่อค้นพบแล้วเราจะต้องมีวิธีนำเสนออย่างเป็นระบบ โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และการจัดการเป็นตัวเชื่อมโยง สินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ( OTOP ) ที่รัฐบาลไทยเคยโหมโรง ผลักดันให้เป็นสินค้าครีเอทีฟ อีโคโนมีนั้น อาจถือเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์อยู่บ้างแต่ไม่ทั้งหมด เพราะยังขาดการพัฒนาด้านไอเดียของบรรจุภัณฑ์ (packaging) และการนำเสนอสู่ตลาดสากลอย่างมืออาชีพ ดูอย่างสินค้าขนมญี่ปุ่นที่ขายตามสถานีรถไฟใต้ดิน ล้วนมีบรรจุภัณฑ์ (packaging) ที่สวยงาม โดดเด่นมาก เราเห็นก็อยากซื้อ ทั้งๆที่รู้ว่า รสชาติขนมนั้นแสนจะธรรมดา อร่อยสู้ขนมไทยไม่ได้ นี่คือความต่างที่เรายังก้าวไปไม่ถึง  ซึ่งเป็นหน้าที่ของ สบร.: สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือชื่อย่อภาษาอังกฤษ OKMD ที่จะต้องเข้ามามีบทบาทส่งเสริมให้คนไทยมีโอกาสแสวงหาความรู้และเพิ่มขีดความสามารถพัฒนาตัวเองให้มีความคิดสร้างสรรค์ โดยต้องเริ่มปลูกฝังเยาวชนให้เป็นคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะรับมือกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นยุคของการแข่งขันด้านความคิดสร้างสรรค์ที่เราเองประมาทไม่ได้ สบร.ต้องเป็นองค์กรที่ต้องผลักดันให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์ผลิตสินค้าและบริการให้เกิดความแตกต่าง และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อนำพาเศรษฐกิจไทยก้าวสู่ความเป็นประเทศชั้นนำต่อไป
เมื่อพลิกดูตัวเลขมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย พบว่า มีสัดส่วนร้อยละ 10-12 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือประมาณ 14-17 ของรายได้ประชาชาติ โดยกลุ่มงานสร้างสรรค์ตามลักษณะงาน (Functional Creation) กลุ่มมรดกทางวัฒนธรรม (Cultural Heritage) และกลุ่มสื่อ (Media) เป็นกลุ่มที่มีมูลค่าสูงสุด       ถ้าพิจารณาแยกย่อย จะพบว่า การออกแบบเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าสูงที่สุด รองลงมาคือกลุ่มงานฝีมือและหัตถกรรม และกลุ่มแฟชั่น ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มมีมูลค่ารวมกันประมาณร้อยละ 9.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเลยทีเดียว
ฉะนั้น ความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นกลไกสำคัญที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยก้าวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ผมขอเอาใจช่วย.

ศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์
Creative Economy (CE) : เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์

       Creative Economy คือ ระบบเศรษฐกิจที่สะท้อนถึงกระบวนการซึ่งรวมเอาวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกัน และสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน จึงทำให้ Creative Economy โดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางระบบการผลิตอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมและภาคการเกษตร
        Creative Industry หรืออุตสาหกรรมที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึงวงจรการสร้างสรรค์ การผลิต และการจำหน่ายสินค้าและบริการที่ใช้ทุนทางปัญญาเป็นปัจจัยการผลิตพื้นฐาน ซึ่งก็คือ กิจกรรมต่างๆ ที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้อันประกอบด้วยศิลปะ การสร้างรายได้จากการค้า และทรัพย์สินทางปัญญา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งลิขสิทธิ์) อุตสาหกรรมในกลุ่มนี้สามารถผลิตได้ทั้งสินค้าที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้อันมีเนื้อหาเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ และมีเป้าหมายทางการตลาด นอกจากนี้ สินค้าที่มีความคิดสร้างสรรค์ยังสามารถเป็นสินค้าที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษ หรือผลิตครั้งละจำนวนมาก ซึ่งเกิดจากการเชื่อมต่อกันระหว่างช่างฝีมือหรือหัตถกรรม และภาคอุตสาหกรรมได้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ภายใต้คำจำกัดความดังกล่าว หรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงระหว่างกันจะประกอบไปด้วย กลุ่มองค์ความรู้ดั้งเดิม เช่น ศิลปหัตถกรรม, กลุ่มการแสดงศิลปะ เช่น การละคร, กลุ่มสิ่งพิมพ์และวรรณกรรม เช่น หนังสือ, กลุ่มดนตรี เช่น คอนเสิร์ต และ CD, กลุ่ม Visual Arts เช่น ภาพเขียน, กลุ่ม Audio-Visuals เช่น ภาพยนตร์และโทรทัศน์, กลุ่มงานออกแบบ เช่น สถาปัตยกรรม และกลุ่มดิจิตอลและมัลติมีเดีย เช่น ซอฟท์แวร์ และเกม เป็นต้น




Creative Economy Pyramid
       การดำเนินนโยบาย Creative Economy ของไทย หน่วยงานด้านยุทธศาสตร์ของประเทศ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยด้วยความรู้และความคิดสร้างสรรค์ จะเห็นได้จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 ที่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนา คนให้มีความคิดสร้างสรรค์ และการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงวัฒนธรรมให้เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศ ซึ่งอยู่ในระหว่างการพัฒนาให้กลายเป็นนโยบายแห่งชาติ
สภาพัฒน์ฯ ได้พยายามจัดกลุ่มของ CI ตามลักษณะของบัญชีรายได้ประชาชาติ แบ่งออกเป็น 9 กลุ่ม ได้แก่ 1) งานฝีมือและหัตถกรรม (Crafts) 2) งานออกแบบ (Design) 3) แฟชั่น (Fashion) 4) ภาพยนตร์และวิดีโอ (Film & Video) 5) การกระจายเสียง (Broadcasting) 6) ศิลปะการแสดง (Performing Arts) 7) ธุรกิจโฆษณา (Advertising) 8) ธุรกิจการพิมพ์ (Publishing) 9) สถาปัตยกรรม (Architecture)
ข้อมูลของสำนักบัญชีประชาชาติปี 2549 ระบุว่ามูลค่าของ CI ของทั้ง 9 กลุ่มข้างต้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 10.4 ของ GDP โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 848,000 ล้านบาท และมีมูลค่าการส่งออกในปี 2549 ประมาณ 289,000 ล้านบาท ไทยมีวัตถุดิบที่สามารถพัฒนาขึ้นเป็นสินทรัพย์สร้างสรรค์ (Creative Assets) อยู่มหาศาล ไม่ว่าจะเป็นในด้านรูปธรรมหรือนามธรรม ซึ่งสามารถนำไปสร้างเสริม CE ได้เป็นอย่างดี
ด้านรูปธรรม มีพระบรมมหาราชวัง พระแก้วมรกต พระพุทธรูปงดงามพระราชวัง วัดวาอาราม เรือสุพรรณหงส์ อาหารไทย รำไทย นวดไทย ข้าวไทย ผลไม้ไทย ผ้าไหมไทย สุนัขพันธุ์ไทยหลังอาน ฯลฯ แหล่งท่องเที่ยว เช่น อยุธยา สุโขทัย เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา เยาวราช สำเพ็ง เขาพระวิหาร เมืองโบราณ ฟาร์มจระเข้ ฯลฯ
       ด้านนามธรรม มีเรื่องราวของ Siamese Twins อิน-จัน (คำว่า Siamese สามารถช่วยสร้าง CE ได้เป็นอย่างดีเพราะฝรั่งรู้จัก Siamese Twins/ Siamese Cats แต่ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าประเทศไทยกับสยามคือประเทศเดียวกัน บ้างก็นึกว่า Thailand คือ Taiwan) สะพานข้ามแม่น้ำแคว เขาตะปู (ในตอนหนึ่งของภาพยนตร์ 007 James Bond) ฯลฯ
       วัตถุดิบเหล่านี้กำลังรอคอยการพัฒนาขึ้นเป็น Creative Assets เพื่อเป็นปัจจัยในการสร้าง Creative Industries หัวใจสำคัญของการพัฒนาก็คือความคิดสร้างสรรค์ (Creative Ideas) ซึ่งมิได้ติดตัวทุกคนมาแต่กำเนิด หากเกิดขึ้นจากการมีทักษะในการคิด (Thinking Skills) และการมีความคิดริเริ่ม (Originality) ซึ่งต้องมีการเรียนการสอน ฝึกฝนกันในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยอย่างจริงจัง
แผนงานกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 (2553-2555) ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ งานสร้าง CE ได้รับเงินจัดสรรรวม 17,585 ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่การส่งเสริมและพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา การส่งเสริมเอกลักษณ์ด้านศิลปะและวัฒนธรรม การส่งเสริมพัฒนาอุตสาหกรรมช่างฝีมือไทย การส่งเสริมอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงและซอฟต์แวร์ การส่งเสริมอุตสาหกรรมรวมออกแบบและสินค้าเชิงสร้างสรรค์ และการขับเคลื่อนสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หากประเทศของเราจะอยู่ได้ดีในหลายทศวรรษหน้า ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศเราจำเป็นต้องพัฒนาจากระดับต่ำสุด คือ เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยปัจจัยการผลิต (Factor-driven Economy คือ การใช้การผลิตด้วยต้นทุนต่ำเป็นปัจจัยสำคัญ) เพื่อเข้าสู่ระดับความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นเป็นลำดับคือ เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพ (Efficiency-driven Economy) และเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-driven Economy)
       หลักการสร้าง Creative Economy ควรสร้างรากฐานที่แข็งแรงด้านการศึกษา สร้างเด็กให้กล้าคิดกล้าแสดงออก ภาครัฐต้องสร้างพื้นที่หรือระบบสาธารณูปโภคให้เหมาะกับธุรกิจยุคใหม่เพื่อก้าวไปสู่ Creative Economy ต้องเลือก Flagship Industry และสร้าง Show Case ซึ่งไทยมีศักยภาพสูงหลายด้าน อาทิ การสร้างภาพยนตร์ กรุงเทพฯ เป็นสถานที่สมบูรณ์แบบที่จะดึงดูดการสร้างหนังระดับโลกเข้ามา มีพื้นที่ มีศิลปินที่เก่ง สิ่งทอ แฟชั่น ดีไซน์ สามารถดึงวัฒนธรรมต่างๆ เข้ามาผนวกเป็นแฟชั่นดีไซน์ การผลิตจิวเวอรี่ ซึ่งรัฐต้องช่วยเหลือด้านภาษีวัตถุดิบ การสร้างศูนย์ศิลปาชีพนานาชาติ ปัจจุบันศูนย์ศิลปาชีพบางไทร พัฒนางานด้านหัตถกรรมให้มีประสิทธิภาพ มองตลาดว่าต้องการสินค้ารูปแบบใด ด้านการท่องเที่ยวควรจะขายศิลปวัฒนธรรมให้มากขึ้น รวมทั้ง การสร้างแบรนด์ของประเทศ (National Brand) นำวัฒนธรรมที่สั่งสมเป็นมรดกโลกมาใช้ อาทิ อยุธยา สุโขทัย